“การเลือกตั้ง ประธานาธิบดีอเมริกา ทำไมจึงดูสลับซับซ้อนมาก” เป็นบทความลำดับที่ 9 ของหมวด 8 เรื่องเล่า รัฐธรรมนูญอเมริกา โดยจะกล่าวถึง ความนำ แนวคิดในการกำหนดที่มาของประธานาธิบดีอเมริกา ความสำคัญของตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาต่อเวทีโลก กระบวนการลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาตามรัฐธรรมนูญ การลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 2020 สรุป และคุยกับดร.ชา
อนึ่ง บทความก่อนหน้านี้ (8) ได้เล่าถึงเหตุผลตามรัฐธรรมนูญว่า ทำไม การปฏิวัติ รัฐประหาร จึงยากที่จะเกิดขึ้นได้ในอเมริกา
Table of Contents
1.ความนำ
หลังจากได้มีการหย่อนบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 46 รวมทั้งตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และผู้ว่าการมลรัฐ ต่าง ๆ ที่ได้หมดวาระลง เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2021 ปรากฏว่า ผลการเลือกตั้งตำแหน่งอื่น ๆ นอกเหนือไปจากตำแหน่งประธานาธิบดี ไม่มีปัญหาอะไร
แต่การลงคะแนนเลือกประธานาธิบดียังไม่ทราบผลเป็นทางการ และมีแนวโน้มไปในทิศทางจะเกิดความวุ่นวายมาก เพราะคะแนนที่ออกมาอย่างไม่เป็นทางการนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) มีคะแนนตามหลังผู้ท้าชิง คือ โจ ไบเดน (Joe Biden) ทำให้ทรัมป์ มีแนวโน้มจะไม่ยอมรับผลการลงคะแนนและอาจนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลสูง
ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้คือ
- แนวคิดในการกำหนดที่มาของประธานาธิบดีอเมริกา
- ความสำคัญของตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกา
- กระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาตามรัฐธรรมนูญ
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 2020
2.แนวคิดในการกำหนดที่มาของประธานาธิบดีอเมริกา
ในบทความ (6) ผมได้กล่าวถึง การใช้นวัตกรรม ใหม่ ในการยกร่างรัฐธรรมนูญอเมริกา ในส่วนที่เกี่ยวกับตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร คณะผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมีความเห็นว่า ควรจะมีอำนาจมากกว่าผู้ว่าการมลรัฐ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ แต่ต้องมีอำนาจน้อยกว่ากษัตริย์เพื่อป้องกันการหลงอำนาจ อันอาจจะนำไปสู่การเป็นเผด็จการหรือทรราชได้ในที่สุด
คณะผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมีความเห็นว่า ประธานาธิบดีอเมริกาต้องเป็นประมุขของประเทศที่สามารถปกป้องการคุกคามของพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งบริเตนได้ แต่ต้องไม่ผันแปรกลายเป็นพระเจ้าจอร์จที่ 3 เสียเอง ดังนั้นจึงวางหลักไว้ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาต้องได้รับเลือกตั้งทางอ้อม
3. ความสำคัญของตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาต่อเวทีโลก
ด้วยอำนาจหน้าที่และบทบาทของผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกา ทำให้ตำแหน่งนี้มีความสำคัญต่อเวทีโลก ดังนี้

3.1 ประธานาธิบดีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร
ภายใต้ระบบการแบ่งแยกและถ่วงดุลอำนาจ ประธานาธิบดีอเมริกา ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของประเทศ ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนทางอ้อม อยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 4 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ไม่เกินสองสมัย รวมเป็นระยะเวลาดำรงตำแหน่งได้ 8 ปี
การที่ประธานาธิบดีอเมริกาสามารถดำรงตำแหน่งได้จนครบวาระ 4 ปี จึงทำให้เป็นตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารที่มีเสถียรภาพ ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของสภาที่จะเอาประธานาธิบดีให้พ้นไปจากตำแหน่งเพราะเหตุงบประมาณไม่ผ่านการรับหลักการของสภาเหมือนอย่างนายกรัฐมนตรีในระบบรัฐสภา

3.2 ประธานาธิบดีในฐานะประมุขของประเทศ
การที่ประธานาธิบดีอเมริกาเป็นทั้งหัวหน้าฝ่ายบริหารและประมุขของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ทำให้ประธานาธิบดี สามารถสร้างบทบาทเป็นผู้นำในเวทีการเมืองระหว่างประเทศได้ กล่าวคือ การกำหนดนโยบาย การแสดงความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศของประธานาธิบดีอเมริกา จะได้รับความสนใจจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ทั้งนี้ เพราะนโยบายและแนวความคิดของประธานาธิบดีอเมริกาย่อมส่งผลกระทบไปทั่วโลก อย่างเช่น การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงเวลาสี่ปีที่ผ่านมา (2017-2020)
3.3 ประธานาธิบดีในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของประเทศ
ตามรัฐธรรมนูญอเมริกา มาตรา 2 อนุมาตรา 2 ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด (Commander-in-Chief) รวมทั้งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังอาสาสมัครของมลรัฐต่าง ๆ ในยามที่ความจำเป็นต้องเรียกใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ
ด้วยอำนาจดังกล่าว จึงทำให้ประธานาธิบดีอเมริกาสามารถสั่งเคลื่อนย้ายกองกำลังทหารไปยังที่แห่งใดในโลกก็ได้ โดยไม่ต้องมีการประกาศสงครามถ้ามีความต้องการและจำเป็น ซึ่งเป็นอำนาจที่ใช้คุกคามประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับอเมริกาได้ไม่ยาก
3.การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาตามรัฐธรรมนูญดูสลับซับซ้อน
รัฐธรรมนูญอเมริกาที่เกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีดูสลับซับซ้อน สรุปได้ ดังนี้
3.1 ผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี (Elector)
รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 2 วรรคสอง ให้สภานิติบัญญัติของแต่ละมลรัฐเป็นผู้มีอำนาจในการคัดเลือกบุคคลให้เป็นผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี (Elector) โดยมีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาคองเกรสของแต่ละมลรัฐ แต่จะคัดเลือกเอาสมาชิกสภาคองเกรส เข้ามาเป็นผู้เลือกตั้งของมลรัฐไม่ได้
ตัวอย่าง
มลรัฐที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1 คน มีจำนวนสมาชิกวุฒิสภา 2 คน จะมีจำนวนผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี จำนวน 3 คน
3.2 การกำหนดวันเลือกผู้เลือกตั้ง (The time of choosing electors) และวันให้ผู้เลือกตั้งหย่อนบัตรเลือกประธานาธิบดี
ให้เป็นอำนาจของสภาคองเกรส เป็นผู้กำหนดเป็นวันเดียวกันทั้งประเทศ (รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 2 วรรคสี่ )
3.3 การหย่อนบัตรเลือกประธานาธิบดีของผู้เลือกตั้ง
(รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 2 วรรคสาม และรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 12/1804)
เมื่อถึงวันหย่อนบัตรเลือกประธานาธิบดีของผู้เลือกตั้งตามที่สภาคองเกรสกำหนด ให้ผู้เลือกตั้งของแต่ละมลรัฐไปรวมกัน ณ สถานที่กำหนดไว้ของแต่ละมลรัฐ เพื่อทำการหย่อนบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดี รวมทั้งรองประธานาธิบดี
บัตรเลือกตั้ง มีอยู่ 2 ใบ ใบแรกสำหรับเลือกตั้งประธานาธิบดี และใบที่สอง สำหรับเลือกตั้งรองประธานาธิบดี
เมื่อได้หย่อนบัตรลงคะแนนแล้ว ให้แยกบัตรออกเป็นกล่อง กล่องแรก เป็นบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดี และกล่องที่สอง เป็นบัตรเลือกตั้งรองประธานาธิบดี โดยมลรัฐต้องลงชื่อรับรองความถูกต้องแล้วส่งทางไปรษณีย์ละเบียนไปยังรัฐบาลกลางในนามของประธานวุฒิสภา
3.4 การนับคะแนนจากบัตรเลือกตั้ง
(รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 2 วรรคสาม และรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 12/1804)
เมื่อประธานวุฒิสภาได้รับบัตรเลือกตั้งแล้ว ให้เรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อดำเนินการนับคะแนนต่อไป
ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ต้องได้คะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เลือกตั้งทั้งหมด
3.5 กรณีไม่มีผู้ใดได้รับคะแนนเสียงข้างมากเกินกว่ากึ่งหนึ่ง
(รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 2 วรรคสาม และรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 12/1804)
หากยังไม่มีผู้ใดได้รับคะแนนเสียงข้างมากเกินกว่ากึ่งหนึ่ง กรณีเป็นตำแหน่งประธานาธิบดี ให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจหน้าที่เป็นผู้เลือกตั้งต่อไป เพื่อหาผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงข้างมากเกินกว่ากึ่งหนึ่ง โดยมลรัฐหนึ่งให้เสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกันเป็นหนึ่งเสียง
ทั้งนี้ องค์ประชุมดังกล่าวของสภาผู้แทนราษฎรต้องไม่น้อยกว่า 2/3
ส่วนกรณีไม่มีผู้ใดได้รับคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดีเกินกว่ากึ่งหนึ่ง ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา โดยใช้หลักเกณฑ์ดำเนินการเช่นเดียวกันกับการเลือกประธานาธิบดีของสภาผู้แทนราษฎร
อนึ่ง ผมขอทำความเข้าใจเพิ่มเติมว่า กรณีตาม 3.5 จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีเกินกว่า 2 คน เช่น มีผู้สมัครอิสระ 1-2 คน แต่ในทางปฏิบัติโอกาสที่ผู้สมัครในนามอิสระจะได้รับคะแนนจากผู้เลือกตั้งสูง ย่อมยากที่จะเป็นไปได้
4.การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 2020
ตามปฏิทินเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 2020 มีกำหนดไว้ ดังนี้
วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน 2020 (November 3, 2020)
วันเลือกตั้ง (General Election Day)
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2020 (Monday December 14, 2020)
ผู้เลือกตั้งในแต่ละมลรัฐ (Electors) หย่อนบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดี
วันพุธที่ 6 มกราคม 2021 (Wednesday January 6, 2021)
สภาคองเกรส นับคะแนนของผู้เลือกตั้งจากมลรัฐต่าง ๆ และรับรองผลการเลือกตั้ง
(Congress counts and certifies the electoral votes)
วันพุธที่ 20 มกราคม 2021 (Wednesday January, 2021)
วันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี (Inauguration Day)
ข้อสังเกต
ตามปฏิทินเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 2020 แสดงให้เห็นว่า การหยอ่นบัตรลงคะแนนเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 เป็นเรื่องของแต่ละมลรัฐดำเนินการให้ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ได้ไปออกเสียงเพื่อเลือกผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีตามจำนวนที่แต่ละมลรัฐพึงมี
ส่วนการให้ผู้เลือกตั้งของแต่ละมลรัฐ ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีจริง ๆ คือ วันที่ 14 ธันวาคม 2020
คณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี (Electoral College)
มีจำนวนทั้งหมด 538 คน ประกอบด้วยผู้เลือกตั้งจากมลรัฐต่าง ๆ 535 คน และผู้เลือกตั้งจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.จำนวน 3 คน
ผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี จะต้องได้คะแนนจากผู้เลือกตั้งไม่น้อยกว่า 270 คน
5.สรุป
การลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา เป็นการลงคะแนนเลือกตั้งทางอ้อม กล่าวคือ ประชาชนเป็นผู้ออกเสียงเลือกผู้เลือกตั้งของแต่ละมลรัฐก่อนเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 ต่อจากนั้นผู้เลือกตั้งจำนวน 538 คน จึงจะไปหย่อนบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดี รวมทั้งรองประธานาธิบดี ในวันที่ 14 ธันวาคม 2020
ผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี รวมทั้งรองประธานาธิบดี ต้องได้รับคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 270 เสียง
สำหรับความคิดเห็นเพิ่มเติม ศึกษาได้จาก คุยกับดร.ชา ท้ายบทความนี้
คุยกับดร.ชา
คู่สนทนาของผมวันนี้ ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับคุณเนรมิต (ชื่อสมมุติ) เพื่อนรักของผม ผู้เคยไปเรียนปริญญาตรี-โท ที่อเมริกา
“สวัสดีครับ คุณเนรมิต เราไม่ได้คุยกันมานานพอสมควร วันนี้ผมเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะเชิญท่านมาสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องการลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา ปี 2020 ซึ่งเพิ่งมีการลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020
ผมขอเข้าประเด็นเลยนะ ทำไมการลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาคราวนี้ดูเหมือนจะวุ่นวายมากกว่าทุกครั้ง ” ผมถามด้วยความกังขา
“ สวัสดีครับ ดร.ชา ผมดีใจที่ท่านกรุณาให้เกียรติเชิญผมมาสนทนากันอีกครั้งหนึ่ง
ในประเด็นที่ท่านถาม ผมมีความเห็นว่า สาเหตุที่ทำให้การลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาคราวนี้ดูสับสนวุ่นวายกว่าทุกครั้ง ก็เพราะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดูคะแนนจากการลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไปของแต่ละมลรัฐแล้วพบว่า มลรัฐที่ประชาชนออกเสียงเลือกลงคะแนนเลือกผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี ส่วนใหญ่จะเป็นมลรัฐที่เลือกผู้สมัครจากพรรคดีโมแครต คือ โจ ไบเดน มีมากกว่า จึงทำให้ท่านออกอาการหงุดหงิด

สไตล์ของทรัมป์ อย่างพวกเราได้เห็นหรือได้ยิน คือ ท่านเป็นคนชอบเอะอะโวยวาย หาว่า มีการโกงการลงคะแนนเลือกตั้ง เมื่อท่านโวยวายเช่นนี้ ข่าวจึงออกมาในเชิงว่า ท่านจะไม่ยอมรับผลการลงคะแนนเลือกตั้ง และอาจจะฟ้องร้องต่อศาลสูง ” คุณเนรมิต ตอบอย่างคนมองเห็นภาพการเมืองอเมริกันทะลุปรุโปร่ง
“ ผมอยากขอทราบความเห็นในประเด็นทีสอง คือ ทำไมการลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาจึงดูสลับซับซ้อน จนยากที่คนต่างชาติจะเข้าใจ ” ผมถามเพื่อเอาคำตอบในเชิงลึก
“สำหรับความเห็นในประเด็นนี้ ผมมีความเห็นเป็นสองประการ คือ
ประการแรก การลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นการลงคะแนนเลือกตั้งสองชั้น กล่าวคือ ประชาชนเลือกผู้เลือกตั้งของแต่ละมลรัฐก่อน อย่างการเลือกตั้งวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 ที่ผ่านมา ถ้าจะพูดให้ตรงกับข้อเท็จจริง คือ การเลือกผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีของแต่ละมลรัฐ ยังไม่ใช่การลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีจริง ๆ
หลังจากนั้น คณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีจำนวนทั้งหมด 538 คน จะไปออกเสียงเลือกประธานาธิบดีอีกชั้นหนึ่ง ในวันที่ 14 ธันวาคม 2020 หากผู้สมัครคนใดได้รับเสียงข้างมากเกินกว่ากึ่งหนึ่ง ผู้นั้นก็จะได้เป็นประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี กล่าวคือ ต้องได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีไม่น้อยกว่า 270 คะแนน
ประการที่สอง อเมริกาเป็นประเทศใหญ่ การลงคะแนนเลือกผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี เป็นอำนาจหน้าที่ของแต่ละมลรัฐในการบริหารจัดการ เวลาออกข่าวก็จะออกข่าวทีละมลรัฐ
ผู้สมัครแต่ละคน อาจจะได้คะแนนชนะในการลงคะแนนเลือกตั้งในบางมลรัฐ แต่ก็อาจจะแพ้ในอีกหลายมลรัฐ เวลาฟังข่าว พวกเราก็มักจะสบสันว่า อะไรกันแน่ เดี๋ยวแพ้ เดี๋ยวชนะ ” คุณเนรมิตตอบอย่างละเอียด
“ ผมขอถามประเด็นสุดท้าย เวลาออกข่าวแต่ละมลรัฐ จะมีข่าวออกมา ผู้สมัครคนใด ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชน (Popular vote) เท่าใด แต่บางครั้ง ผู้ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนมากกว่าไม่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีก็มี น่าจะมีส่วนทำให้คนงงไหม ” ผมถามในสิ่งที่หลายคนอาจจะสงสัย
“ แน่นอน ดร.ชา เพราะคะแนนในการชี้ขาดว่า ใครได้รับเลือกตั้ง คือ คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งจำนวน 538 คนเท่านั้น ไม่ใช่คะแนนเสียงจากประชาชน เอาไว้คราวหน้า ถ้ามีโอกาสผมอยากจะขยายความเรื่องนี้ให้ท่านผู้เข้าใจอย่างชัดเจน ” คุณเนรมิตตอบแบบคิดว่า ท่านผู้อ่านจะไม่เข้าใจดี
“ดีมาก คุณเนรมิต วันนี้ขอขอบคุณมาก โอกาสหน้าค่อยคุยกันใหม่” ผมกล่าวขอบคุณพร้อมปิดการสนทนา
“ด้วยความยินดีครับ ดร.ชา”
ประธานาธิบดีของสหรัฐส่วนใหญ่จะชนะการเลือกตั้ง2สมัยติดต่อกัน แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เป็นสมัยเดียว ในมุมมองของอาจารย์ ทรัมป์มีจุดอ่อนตรงไหนคะ ขอบคุณค่ะ
จุดอ่อนของทรัมป์ คือ ท่านไม่มีประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาก่อน รวมทั้งไม่เคยรับราชการมาก่อนด้วย เล่นการเมืองครั้งแรกก็ได้เป็นประธานาธิบดีเลย ผิดกับประธานาธฺบดีคนอื่นๆ ของอเมริกา ล้วนแล้วแต่เคยผ่านการดำร่งตำแหน่งทางการเมืองมากอ่น เช่น รองประธานาธิบดี ผู้ว่าการมลรัฐ สมาชิกวุฒิสภา รัฐมนตรี หรือเคยรับราชการททหารในช่วงสงครามโลก
ดังน้ัน มุมมองหรือวิสัยทัศน์ของท่านจึงถนัดแต่มิติทางด้านธุรกิจ แต่มีจุดอ่อนในการตัดสินใจในมิติทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้ความเป็นผู้นำของอเมริกาในเวทีการเมืองโลกถดถอยลงเป็นอันมาก
ทรัมป์นำสหรัฐออกจากความร่วมมือข้อตกลงปารีส แต่ไบเดนได้นำสหรัฐเข้าร่วมข้อตกลงความร่วมมือปารีสอีกครั้ง จึงทำให้ไบเดนชนะการเลือกตั้ง ในมุมมองของอาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไรคะขอบคุณค่ะ
เรื่องนี้ คงไม่สำคัญถึงขั้นให้ไบเคนชนะเลือกตั้ง เป็นเพียงส่วนประกอบบ้าง เพราะคนมีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งคือคนอเมริกัน ไม่ใช่ชาวโลก
แต่ความล้มเหลวของทรัมป์ในการแก้ปัญหาโรคโคงิด-19 น่าจะส่งผลมากกว่า เนื่องจากมีผลหระทบต่อคนอเมริกันทั้งประเทศ
ไจ ไบเดน ในอดีตเคยเป็นรองประกานาธิบดีสมัยโอบามา แต่ให้ทบทวนนโยบายโอบามาที่ดำเนินผิดพลาดต่อตะวันออกกลาง ด้านนนิวเคลียร์ อาจารย์คิดว่ามีข้อผิดพลาดตรงไหนคะ ขอบคุณค่ะ