บทความที่แล้ว คือบทความ (6) การออกคำสั่ง จิตใต้สำนึก จากภายใน ตอน 1 ผมได้กล่าวถึง ความหมายของการสั่งจิตใต้สำนึกจากภายใน การกำหนดเป้าหมาย การทำให้จิตตกอยู่ในภวังค์ สรุปและข้อคิดเห็น
สำหรับบทความ (7) เป็นการเล่าถึงการออกคำสั่งจิตใต้สำนึกจากภายใน ตอน 2 ในส่วนที่ว่าด้วย การออกคำสั่งจิตใต้สำนึกจากภายในคืออะไร การออกคำสั่งจิตใต้สำนึกกับการสร้างภาพแห่งความสำเร็จไว้ในใจ ตัวอย่างการออกคำสั่งจิตใต้สำนึกจากข้างใน สรุป และปิดท้ายด้วยการคุยกับดร.ชา
Table of Contents
1.การออกคำสั่งจิตใต้สำนึกจากภายในคืออะไร
การออกคำสั่งจิตใต้สำนึกจากภายใน คือ การบอกตนเองในใจว่า เรามีความต้องการในสิ่งใด เป้าหมายคืออะไร ภายในระยะเวลาเท่าใด และโดยวิธีใด พร้อมกับการนึกวาดภาพความสำเร็จขึ้นไว้ในใจ เพื่อใช้เป็นแรงผลักดันให้ตัวเรามีความมานะพยายามที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ
การบอกตนเองในใจ ควรบอกด้วยความคิดที่เป็นบวก เพราะความคิดที่เป็นบวกจะทำให้จิตของเรารู้สึกผ่อนคลายได้ง่าย
หากคนเรามีความต้องการสิ่งใดจริง ๆ ความคิดของเราก็จะหมกมุ่นอยู่ในสิ่งนั้น แต่ความหมกมุ่นอาจจะยังไม่ถือว่า เป็นการออกคำสั่งจิตใต้สำนึก เพราะอาจมีการคิดกลับไปกลับมาว่าจะเอาอย่างไรดี ยังไม่มีการตัดสินใจ
แต่ถ้าได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่า เราต้องการสิ่งใด และได้บอกตัวเองซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จึงจะเรียกได้ว่า เป็นการสั่งจิตใต้สำนึก เพราะถ้าไม่บอกตัวเองซ้ำบ่อย ๆ การระบบอัตโนมัติของจิตจะไม่เกิดขึ้น
ตัวอย่าง
การตัดสินใจว่าจะประกอบอาชีพอะไร ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกคนต้องคิดตั้งแต่ยังเด็กหรือยังเรียนหนังสืออยู่ เพราะถ้าไม่คิดตั้งแต่ตอนนั้น ก็จะไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า จะเรียนด้านใดดี
คนอยากเป็นหมอ ก็ต้องเป็นคนเรียนเก่ง เรียนสายวิทย์ และต้องตั้งใจเรียนตลอด เพราะถ้าไม่เก่งและไม่ตั้งใจเรียนตลอด โอกาสจะสอบบเข้าเรียนหมอได้ย่อมเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย
คนอยากเป็นวิศวกร ต้องสอบเข้าเรียนวิศวะ หากไม่เก่งคำนวณ ไม่เก่งกลศาสตร์ โอกาสสอบเข้าเรียนได้ย่อมมีน้อย
คนอยากเป็นนักกฎหมาย ต้องสอบเข้าเรียนนิติศาสตร์ แต่ถ้าสอบเข้าไม่ได้ ก็ยังมีมหาวิทยาลัยเปิดหรือมหาวิทยาลัยเอกชนรองรับอยู่
คนอยากเป็นนักกีฬาอาชีพ อย่างนักฟุตบอล นักกอล์ฟ ก็ควรจะเป็นคนที่มีพื้นฐานทางกีฬาด้านนั้น ๆ ดี จึงจะเอาดีถึงขั้นยึดเป็นอาชีพได้
เมื่อจิตสำนึกได้ตัดสินใจแล้วว่า โตขึ้นอยากประกอบอาชีพอะไร จิตใต้สำนึกจะรับทราบ และคอยกระตุ้นเรามีความกระตือรือร้นและมีความเพียรพยายามในการทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เราสามารถเดินทางไปสู่จุดหมายที่เราใฝ่ฝันได้
2.การออกคำสั่งจิตใต้สำนึกกับการสร้างภาพแห่งความสำเร็จ
การสร้างภาพแห่งความสำเร็จ คืออะไร และทำไมต้องสร้างภาพ
การสร้างภาพแห่งความสำเร็จ คือการจินตนาการด้วยการสร้างภาพสิ่งที่เป้าหมายในชีวิตของเราในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือถ้าจะกล่าวง่าย ๆ คือ การสร้างภาพยนตร์สั้น ๆ สักเรื่องหนึ่งขึ้นไว้ในใจ หากเราสามารถสร้างภาพยนตร์สั้นในเรื่องนั้นได้ดี กระชับและชัดเจนมากเท่าใด ก็ย่อมจะสามารถสร้างแรงผลักดันหรือแรงจูงใจให้เราได้มากเท่านั้น

การสร้างภาพแห่งความสำเร็จ ต้องเป็นภาพของเรื่องราวที่มีชีวิตชีวา ดูแล้วเกิดความฮึกเหิม สนุกสนานเพลิดเพลิน และมีความสุข จนอยากจะลงมือทำให้เกิดความสำเร็จจริง ๆ และที่สำคัญคือ ในการสร้างภาพดังกล่าวต้องเป็นการสร้างภาพให้เห็นตัวเราเคลื่อนไหวทำกิจกรรมบางอย่างที่จะทำให้เราสามารถก้าวไปสู่จุดหมายได้
แต่ถ้าเราไม่กล้าสร้างภาพแห่งความสำเร็จขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา แสดงว่า สิ่งนั้นอาจจะยังเป็นสิ่งเราทำได้ยาก หรืออาจจะไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงขอเรา เพราะแม้แต่แค่การสร้างภาพเรายังขาดความเชื่อมั่นอยู่เลย หากเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะทบทวนเป้าหมายของเราใหม่จนกว่าจะแน่ใจว่า เป็นเป้าหมายที่เราต้องการและน่าจะทำได้จริง ๆ
ดังนั้น การสร้างภาพแห่งความสำเร็จขึ้นมาในใจของเรา จึงเป็นตัวชี้วัดเบื้องต้นว่า สิ่งที่เราคิดจะไขว้คว้ามา น่าจะเป็นไปได้ไหม
ท่านผู้อ่านคิดว่า ลำพังการบอกตนเองในใจบ่อย ๆ ว่า เรามีความต้องการอะไร โดยไม่มีการนึกหรือจินตนาการสร้างภาพเป้าหมายที่เราต้องการควบคู่ไปด้วย จะมีพลังในการผลักดันให้เรามีความเพียรพยายามที่จะกระทำการต่าง ๆ เพื่อให้เราไปสู่ความสำเร็จตามที่มุ่งหวังไว้หรือไม่
ผมคิดว่า ทุกท่านคงยอมรับว่า การคิดไว้ในใจลอย ๆ โดยไม่มีการจินตนาการสร้างภาพเป้าหมายที่เราต้องการขึ้นมาควบคู่ไปด้วย ไม่น่าจะมีพลังมากพอในการผลักดัน เพราะยังเป็นความคิดแบบนามธรรม ยังไม่เป็นรูปธรรม
ความสำเร็จยากที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้าเราไม่สามารถแปลงความคิดที่เป็นนามธรรม (abstract) ให้เป็นรูปธรรม (concrete) เพราะความคิดที่เป็นนามธรรมยังเป็นความคิดที่เลื่อนลอยอยู่ ไม่ชัดเจน ไม่แน่ชัดว่า ความต้องการที่แท้จริงของเรา คืออะไรกันแน่
เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น ผมขอเปรียบเทียบกับการแสดงธรรมของพระพุทธองค์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้สามารถปักหลักฐานได้มั่นคงมาแล้วเป็นระยะเวลา 2563 ปี ว่า มีอยู่ 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นหลักธรรมล้วน ๆ อย่างที่เรียกว่า ธรรมาธิษฐาน และส่วนที่เป็นรูปธรรมมียกตัวอย่างประกอบคือนิทานชาดก ทำให้เข้าใจง่าย อย่างที่เรียกว่า บุคลาธิษฐาน
จิตใต้สำนึกจะยอมรับคำสั่งได้ดี ถ้ามีคำสั่งทั้ง 2 ส่วนรวมกันและผสมผสานกันอย่างกลมกลืน คือ มีทั้งส่วนที่เป็นนามธรรมและส่วนที่เป็นรูปธรรม จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ หากมีเฉพาะส่วนที่เป็นนามธรรม ย่อมขาดความชัดเจน และหากมีเฉพาะส่วนที่เป็นรูปธรรม จิตใต้สำนึกก็จะไม่เข้าใจความหมายของมโนภาพที่เราสร้างขึ้น
3.ตัวอย่างการออกคำสั่งจิตใต้สำนึกจากภายใน
เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจวิธีการออกคำสั่งจิตใต้สำนึกจากภายในได้ชัดเจน ผมขอยกตัวอย่างประกอบ ดังนี้
3.1 การออกคำสั่งจิตใต้สำนึกเพื่อเอาชนะความกลัว
คนเรามักจะมีความกลัวในบางสิ่งบางอย่าง แตกต่างกันไปแล้วแต่ภูมิหลังของแต่ละคน เช่น กลัวความสูง กลัวความมืด กลัวสุนัข กลัวทะเล กลัวเข็มฉีดยา และกลัวตาย เป็นต้น
เคล็ดลับในการออกคำสั่งเอาชนะความกลัว
เมื่อเรากลัวสิ่งใด ต้องฝึกการสั่งจิตใต้สำนึกพร้อมกับสร้างภาพตัวเราให้เผชิญหน้าสิ่งที่เรากลัวนั้น ทีละขั้นตอน อย่างช้า ๆ และบ่อย ๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ตามตัวอย่างข้างล่างนี้
แดงเป็นคนกลัวความสูง จึงไม่ชอบเดินทางโดยเครื่องบินถ้าไม่จำเป็น ชอบเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถโดยสารประจำทาง หรือรถไฟ แดงต้องการเอาชนะความกลัวในเรื่องนี้ ด้วยการออกคำสั่งจิตใต้สำนึกพร้อมกับการสร้างภาพเพื่อให้หายกลัวการเดินทางด้วยเครื่องบิน ตามขั้นตอน ดังนี้
❶บอกตัวเองว่าจะเอาชนะความกลัวการขึ้นเครื่องบินให้ได้ภายในระยะเวลาเท่าใด
❷บอกตัวเองให้รู้สึกผ่อนคลายในขณะก้าวขึ้นเครื่องบิน
❸บอกตัวเองให้รู้สึกผ่อนคลายที่มีพนักงานต้อนนรับบนเครื่องบินได้ทักทายอย่างเป็นมิตร
❹บอกตัวเองให้รู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้นั่งลงบนที่นั่งของตน
❺บอกตัวเองให้รู้สึกผ่อนคลายเมื่อเครื่องบินเริ่มทยานขึ้นฟ้า
❻บอกตัวเองให้รู้สึกผ่อนคลายในขณะที่เครื่องบินกำลังบินไปสู่จุดหมายปลายทาง
❼บอกตัวเองให้รู้สึกผ่อนคลายในขณะเครื่องบินกำลังลดระดับจะลงจอด ณ ท่าอากาศยาน
❽บอกตัวเองให้รู้สึกผ่อนคลายเมื่อเครื่องบินได้ลงจอด ณ ท่าอากาศยาน ด้วยความปลอดภัย
ตัวอย่างข้อความหรือประโยคที่ใช้ในการบอกตนเองให้หายกลัวการขึ้นเครื่องบิน
“ การขึ้นเครืองบินเป็นสิ่งที่น่ายินดี ไม่น่ากลัว เพราะใคร ๆ ก็สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่คนพิการ
ฉันเป็นคนปกติ สุขภาพแข็งแรงดี ย่อมสามาราถขึ้นเครื่องบินได้เหมือนคนอื่น ๆ
ฉันมั่นใจว่า ด้วยพลังของจิตใต้สำนึกอันไร้ขอบเขตของฉัน ภายใน 15 วันนับจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันจะชอบการขึ้นเครื่องบิน ไม่กลัวการขึ้นเครืองบินอีกต่อไป
ฉันมองเห็นตัวเองค่อย ๆ ขึ้นบันไดที่เป็นทางขึ้นเครื่องบิน ฉันรู้สึกผ่อนคลาย สบายดี ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะหลาย ๆ คน ก็กำลังขึ้นเครื่องบินเช่นเดียวกับฉัน
ฉันมองเห็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินได้กล่าวทักทายฉันอย่างเป็นมิตร ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย
พนักงานต้อนรับได้นำฉันเข้านั่งในที่นั่งของฉัน คนที่นั่งข้างฉัน กำลังยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร
ฉันได้รัดเข็มเพื่อความปลอดภัยเหมือนผู้โดยสารคนอื่น ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องบินค่อย ๆ วิ่งตามรันเวย์ สักพักเครื่องบินได้เชิดหัวขึ้น โดยฉันยังรู้สึกผ่อนคลายและสบายดีเหมือนเดิม
ฉันได้นั่งเครื่องบินไปเรื่อย ๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง
ฉันได้ลงจากเครืองบินทางบันไดขึ้นลง พร้อม กับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ด้วยความปลอดภัย
ฉันชักจะชอบการเดินทางด้วยเครื่องบินเสียแล้ว เพราะประหยัดเวลาและปลอดภัยดี
ด้วยพลังของจิตใต้สำนึกอันไร้ของเขตของฉัน ภายใน 15 วัน นับจากนี้ไป ฉันจะชอบการขึ้นเครืองบิน และหายจากการกลัวขึ้นเครื่องบินอย่างแน่นอน ”
3.2 การเอาชนะความสุรุ่ยสุร่ายเพื่อให้มีเงินออมมากขึ้น
ถ้าเราอยากเป็นคนมีฐานะทางการเงินดี มีความมั่นคง ควรจะเริ่มด้วยการรู้จักประหยัด อดออม ไม่สุรุ่ยสุร่าย
เคล็ดลับในการบอกตนเองให้มีเงินเก็บออมรายเดือนเพิ่มขึ้น

ให้บอกตนเองพร้อมกับการสร้างภาพให้เห็นตัวเรากำลังตัดรายการค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันออกหลายรายการ และมองเห็นตัวเลขเงินในบัญชีธนาคารที่เพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนตามยอดที่เรากำหนดไว้
ตัวอย่าง
ดำ เป็นคนชอบใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย เห็นมีโฆษณาอะไรทางออนล์ พอรู้สึกถูกใจมักจะสั่งซื้ออย่างเมามัน ทั้ง ๆ ที่ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตดำเลย ทำให้มีรถของบริษัทเอกชนนำสินค้าที่เขาสั่งซื้อทางออนไลน์ไปส่งที่หน้าบ้านของเขาแทบทุกวัน แต่ละเดือนเขาได้หมดเงินซื้อสินค้าเหล่านี้ เดือนละประมาณ 10,000 บาท ดังนั้น เขาจึงคิดอยากจะออกคำสั่งจิตใต้สำนึกของเขา ไม่ให้ใช้จ่ายซื้อสินค้าออไลน์ที่ไม่จำเป็นทั้งหลาย
“ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ด้วยอำนาจของพลังจิตใต้สำนึกอันไร้ขอบเขต ฉันจะสามารถยับยั้งชั่งใจไม่สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตของฉันอีกต่อไป เพื่อให้ฉันมีเงินเก็บอย่างน้อยเดือนละ10,000 บาท หรือปีละ 120,000 บาท
ฉันรู้สึกว่า รายการโฆษณาสินค้าทางออนไลน์ทั้งหลาย มีอยู่หลายรายการไม่ใช่สินค้าที่มีความจำเป็นต่อชีวิตของฉันอีกต่อไป ซื้อมาก็ไม่ได้ใช้ สิ้นเปลืองเงินทองเปล่า ๆ สู้เก็บเงินออมไว้ใช้ในยามจำเป็นดีกว่า
ฉันมองเห็นเงินในบัญชีธนาคารของฉันมียอดเพิ่มขึ้นจากเดิมเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งจะทำให้ฉันมีเงินเพิ่มในบัญชีอย่างน้อยปีละ 120,000 บาท อย่างสบาย
ด้วยพลังของจิตใต้สำนึกอันไร้ขอบเขต ฉันเชื่อว่า ฉันจะสามารถเพิ่มยอดเงินฝากในบัญชีของฉันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยเดือนละ 10,000 บาท หรือปีละ 120,000 บาท อย่างแน่นอน ”
3.3 การออกคำสั่งจิตใต้สำนึกเพื่อเป้าหมายอื่น ๆ
เราสามารถออกคำสั่งจิตใต้สำนึกเพื่อเป้าหมายในเรื่องต่าง ๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก ด้วยวิธีการเดียวกัน กล่าวคือ บอกตัวเองพร้อมกับการสร้างภาพของตนเองที่ได้ลงมือกระทำการบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในสิ่งนั้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยอ้างเอาพลังของจิตใต้สำนึกอันไร้ขอบเขตเป็นตัวดึงดูดหรือเหนี่ยวนำ เช่น
- การออกคำสั่งให้ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง
- การออกคำสั่งให้สุขภาพแข็งแรง
- การออกคำสั่งให้เป็นคนใจเย็น ไม่โกรธง่าย
ฯ ล ฯ
4.สรุป
การออกคำสั่งจิตใต้สำนึกจากภายใน คือ การบอกตนเองในใจว่า เรามีต้องการจะทำอะไรให้สำเร็จ มีเป้าหมายอย่างไร และภายในระยะเวลาเท่าใด
การออกคำสั่งจิตใต้สำนึกจากภายในมีความสัมพันธ์กับการสร้างภาพแห่งความสำเร็จไว้ในใจอย่างใกล้ชิด กล่าวคือ เมื่อจิตสำนึกได้บอกจิตใต้สำนึกว่า เราต้องการอะไร และภายในระยะเวลาเท่าใด ก็ให้จินตนาการหรือสร้างภาพสิ่งที่เป็นเป้าหมายของเราขึ้นมา โดยพยายามสร้างภาพให้ชัดเจน เพื่อให้จิตใต้สำนึกสามารถจดจำได้ง่ายและแม่นยำ
การสร้างภาพดังกล่าว ต้องเป็นภาพเคลื่อนไหวของเรื่องราวที่มีชีวิตชีวา สนุกสนานเพลิดเพลินและมีความสุข คล้าย ๆ กับเป็นการสร้างภาพยนตร์สั้น ๆ ขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง และจะต้องสร้างภาพให้เห็นตัวเรากำลังกระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้สามารถไปสู่เป้าหมายที่เราได้วางไว้ ไม่ใช่แค่มองเห็นแต่ภาพที่เป็นผลลัพธ์เท่านั้น
แต่ต้องเข้าใจว่า การอออกคำสั่งจิตใต้สำนึกพร้อมกับการสร้างภาพแห่งความสำเร็จเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นของความสำเร็จเท่านั้น ความสำเร็จที่แท้จริงคือการกระทำภายหลังจากนั้น
คุยกับดร.ชา
ผมมีลูกศิษย์ปริญญาโทรามคำแหงอยู่คนหนึ่ง ชื่อ คุณนัดชา(นามสมมุติ) มีอายุราว 35-40 ปี เธอเป็นบุคคลหมายเลข 3 มีอุปนิสัยมุ่งมั่นไปสู่ความสำเร็จ มีความทะเยอทะยาน และมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่ค่อยยอมใครง่าย ๆ ชอบศึกษาหาความรู้ในด้านการสั่งจิตจากโค้ชต่าง ๆ
มีวันหนึ่ง เธอได้เสนอแนะผมว่า อยากให้ผมเขียนเรื่อง พลังดูด ที่เธอได้ไปเข้าอบรมจากโค้ชมา ผมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องพวกนี้จัดอยู่ในกลุ่มพลังของจิตใต้สำนึก ซึ่งผมเองก็ได้ฝึกฝนมาเป็นเวลายาวนานจึงพอจะมีความรู้และประสบการณ์ที่จะเล่าให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายทราบได้
วันนี้ผมได้เชิญคุณนัดชามาเป็นคู่สนทนา
“ คุณนัดชา คงได้ติดตามบทความชุดการสั่งจิตใต้สำนึกที่อาจารย์ได้เขียนมาตั้งแต่ต้นจนถึงความล่าสุดคือบทความนี้ คุณนัดชาคิดว่า ในเรื่องนี้มีหัวใจสำคัญอยู่ที่อะไร ” ผมชวนเธอเริ่มต้นสนทนาแบบผ่อนคลาย
“ หนูคิดว่า บทความชุดการสั่งจิตใต้สำนึกที่อาจารย์กรุณาเขียนมาให้อ่านกันตั้งแต่ต้น ได้ช่วยให้หนูมีความรู้ความเข้าใจในการทำงานของจิตที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร เพราะเดิมหนูยังมีความเข้าใจสับสนอยู่ คิดว่า เพียงแค่นึกฝันหรือจินตนาการอย่างเดียว จะมีพลังดูดนำความมั่งคั่งร่ำรวยมาให้โดยไม่ต้องประกอบอาชีพการงานอะไร ” นัดชาสารภาพความเข้าใจผิดของตน
“ ที่สำคัญคือ เวลาสร้างภาพ เราต้องภาพให้เห็นตัวเรากระทำการบางสิ่งบางอย่างที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ แสดงว่า ความสำเร็จมิได้เกิดจากการนึกฝันเฉย ๆ อย่างที่หนูเคยเข้าใจ แต่ต้องเกิดจากการลงมือกระทำจริง ๆ มีปัญหาอุปสรรคอะไรก็แก้ไขไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะประสบความสำเร็จ” นัดชากล่าวเสริมอย่างพรั่งพรูโดยไม่ต้องรอให้ผมถามอีก
“ แล้วเวลานี้คุณนัดชาเข้าใจว่าอย่างไร ” ผมกระตุ้นให้เธอตอบตามความรู้สึกที่แท้จริง
“ หลังจากหนูได้ทดลองทำตามที่มีโค้ชแนะนำแล้ว ไม่ประสบผลสำเร็จ กล่าวคือไม่เห็นร่ำรวยเสียที จึงเห็นได้ว่า การที่จะร่ำรวยได้นั้น หาใช่เกิดจากนอนฝันลม ๆ แล้ง ๆ ไม่ แต่ต้องเกิดจากการทำงานประกอบอาชีพที่เราชอบและถนัดด้วยความขยันหมั่นเพียร การอยู่กินดีจึงจะเป็นไปได้ และเมื่ออยู่ดีกินดีแล้ว ความร่ำรวยก็น่าจะตามมาภายหลัง ถ้าเรายังมีความใฝ่ฝันอยู่” นัดชาเล่าถึงความเข้าใจที่เกิดขึ้นใหม่ให้ผมฟัง
“ แล้วที่อาจารย์ชี้แนะว่า การสั่งจิตใต้สำนึกพร้อมกับการสร้างภาพแห่งความสำเร็จขึ้นไว้ในใจ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ คุณนัดชาเข้าใจว่าอย่างไร ” ผมทดสอบความเข้าใจของเธอ
“ หนูคิดว่า หากเราเอาแต่สั่งจิตใต้สำนึกและสร้างภาพแห่งความสำเร็จไว้ แต่ไม่ยอมลงมือทำเสียที ความสำเร็จไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ เพราะความสำเร็จเกิดจากการลงมือทำ มีปัญหาอะไรก็แก้ไขไปด้วยการใช้องค์ความรู้และสติปัญญา ในที่สุดความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ” นัดชาตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ แต่อาจารย์อยากขอตั้งข้อสังเกตข้อหนึ่งว่า เป้าหมายที่เราฝันใฝ่อยากจะได้นั้น ต้องไม่ยากจนเกินความรู้ความสามารถของเราที่จะไขว่คว้ามาได้ เพราะถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้ยากจนเกินไป เราจะเกิดความท้อถอยและหยุดกลางคันก่อน คุณนัดชาเข้าใจที่อาจารย์พูดใช่ไหม ” ผมอดเตือนเธอด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ กลัวจะหลงทาง
“ วันนี้เราคุยกันแค่นี้ก่อนนะ คราวหน้าอาจารย์จะเชิญมาใหม่ ” ผมกล่าวปิดท้ายการสนทนา
“ ด้วยความยินดีค่ะ อาจารย์ ” นัดชาตอบรับคำเชิญล่วงหน้าด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
เป็นไปได้ค่ะอาจารย์อย่างยิางค่ะาจานย์ จิตใต้สพนึกเหมือนจะมีอยู่ 2 ส่วน คือ เรื่องไหนที่เราจะทำได้จะรู้สึกว่าจะทำได้ กับบางเรื่องเราต้องสัางว่าต้องทำำด้สินะ
ก็คงเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เราจะสั่งจิตใต้สำนึกได้ทุกเรื่อง จะสั่งได้บางเรื่องที่ใช่สำหรับตัวเราเท่านั้น
ดังนั้น จึงต้องคิดให้ดีว่า ความต้องการที่แท้จริงของเราคืออะไร
รู้เรื่องจิตใต้สำนึกช้าไปค่ะ อยากย้อนเวลากลับไป20ปีที่แล้ว หนูมีเป้าหมายอยากทำงานโรงแรม ได้ทำจริงค่ะ เป็นพนักงานทำความสะอาด หนูจึงลาออกเพราะเรามีวุฒิปริญญาตรี วันนี้หนูเข้าใจแล้วค่ะ ควรตั้งเป้าหมาย ฉันเป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรม abc
ได้ใช้ภาษาอังกฤษและได้บริการผู้คน
หนูมีความสุขกับงานที่ทำ ค่ะ
ปัจจุบันนี้ก็อยากทำงานเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษแต่ไม่ประจำ เพราะหนูดูแลผู้สูงอายุอยู่ที่บ้านด้วย
ขอบคุณค่ะ หนูเข้าใจเรื่องจิตใต้สำนึกและทำการแก้ไขสิ่งที่เข้าใจผิดมาตลอดแล้วค่ะ
อาจารย์ยินดีด้วยนะ ที่คุณณัชชามีความเข้าใจเรื่องจิตใต้สำนึกได้ถูกต้องแล้ว
หนูไม่คาดหวังจะเป็นจริงหรือไม่ อยากให้อาจารย์ตรวจหรือให้คำแนะนำค่ะ หนูสั่งจิตใต้สำนึกอย่างนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ
หนูต้องการเป็นล่ามและผู้เชี่ยวชาญในการแปลเอกสาร
ได้ใส่เสื้อผ้าของEp ผูกเทคไทด์ ใส่เครื่องประดับเป็นสร้อยข้อมือหนัก3บาท สวมรองเท้ายี่ห้อชาแนลสีนำ้ตาล
มีปฏิภาณไหวพริบในการเป็นล่าม ใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย แปลออกมาแล้วรื่นหู
มีงานเป็นล่ามและงานแปลทุกวัน ไม่มีวันหยุด
หนูมีความสุขและสนุกกับงานที่ทำ
ลองสร้างมโนภาพดูว่า การจะเป็นล่ามและผู้เชี่ยวชาญการแปลเอกสาร เราต้องมีความรู้สามารถอะไรบ้าง เพราะการทีจะมีความรู้ความสามารถดังกล่าว ต้องเกิด
จากการศึกษาอบรมและฝึกฝนอย่างจริงจัง ไม่ใช่คิดอยากเป็นแต่ไม่พัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามาถเพียงพอ ถ้าเป็นเช่นนี้ เวลาเขารับสมัครและมีการทดสอบ ความรู้ความสามารถของเรา ก็จะไม่ผ่านการทดสอบ และไม่ได้เป็นในสิ่งที่เราหวัง อย่าคิดข้ามขั้นตอน
ขอบคุณครับอาจารย์ จะได้รู้จักวิธีสร้างจิตใต้สำนึก ไว้บอกเตือนตนเอง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายบางอย่างที่วางไว้ให้สำเร็จครับ
เมื่อไดู้เป็นผู้หมวดแล้ว ก้าวต่อไปคือ ผู้กอง ลองใช้การสั่งจิตใต้สำนึกพร้อมกับสร้างมโนภาพดูว่า เราจะไปถึงจุดนั้นได้ไหม
หรืออาจจะเป็นเรื่องอื่น ๆ ก็ได้ ที่เราต้องการจริง ๆ อาจารย์เอาใจช่วยนะ
ให้อาจารย์ยกตัวอย่างสั่งจิตใต้สำนึกดึงดูดเนื้อคู่ที่ดี เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่ไม่ประสบผลสำเร็จเรื่องความรักในชีวิตค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
เรื่องคู่ครองหรือเนื้อคู่ ความจริงน่าจะเป็นเร่ื่องของการสร้างบุญหรือการสร้างกรรมร่วมกันนอดีต หากใครได้คู่ครองดี แสดงว่าได้สร้างบุญร่วมกันมา หากใครได้คู่่ครองไม่ดี แสดงว่าได้สร้างกรรมไม่ดีต่อกันในอดีต อีกฝ่ายจึงคิดจองเวรจองกรรมตามมาเกิดเป็นคู่ครองเพื่อแก้แค้น
แต่ถ้าจะลองใชัวิธีการสั่งจิตใต้สำนึกให้ได้คู่ครองที่ดี ก็ไม่ยาก แต่จะได้ผลหรือไม่ อาจารย์ไม่ขอยืนยัน เพียงแต่สั่งจิตใต้สำนึกว่า ” ด้วยพลังจิตใต้สำนึกอันไร้ขบอเขต ขอให้ฉันได้พบคู่ครองที่ดี เข้ากันได้อยู่กันอย่างมีความสุข มีทายากไว้สืบสกุล และมีความเจริญรุ่งเรืองในอาชีพการงาน” อยากได้คนรูปร่างหน้าตาอย่างไรก็คิดเอาเอง