ด้วยพลังจิตอันเข้มแข็ง และความมานะบากบั่นเท่านั้นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ เป็นบทความลำดับที่ 6 ของหมวด เรื่องเล่า ความฝัน และความสำเร็จ โดยจะกล่าวถึง ความนำ พลังจิตอันเข้มแข็ง ความมานะบากบั่น พระมหาชนก กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว กว่าจะได้เป็นประธานาธิบดี โจ ไบเดน สรุป และคุยกับดร.ชา
Table of Contents
1.ความนำ
การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เป็นความฝันนั้น ไม่ง่ายเลย ต้องมีความมานะบากบั่นหรืออดทน มีความเพียรพยายาม และที่สำคัญคือ ต้องมีพลังจิตที่เข้มแข็ง เพื่อให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ที่ขวางกั้นอยู่ไปให้ได้
ดังนั้น ในบทความนี้จะได้นำเรื่องราวของพลังจิตอันเข้มแข็ง ความมานะบากบั่น มาเล่าให้ท่านได้ทราบและเป็นข้อคิด
2.พลังจิตอันเข้มแข็ง (Strong mental power)
คนที่ไม่มีพลังจิตอันเข้มแข็ง จะไม่มีทางประสบความสำเร็จ เพราะความสำเร็จต่าง ๆ ที่ผู้ประสบความสำเร็จได้มาล้วนแล้วแต่อาศัยจิตที่มีพลังเข้มแข็ง
ปัญหาคือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้จิตมีพลังเข้มแข็ง
เพื่อให้สามารถสร้างจิตให้มีพลังเข้มแข็ง ผมมีข้อแนะนำบางประการ ดังนี้
2.1 ตรวจสอบและทบทวนดูว่า เป้าหมายหรือความฝันของเรา เป็นสิ่งที่เราต้องการจริง และเป็นสิ่งที่เราชอบหรือไม่
ความฝันของคนเรามีได้สารพัด แต่ที่เป็นความฝันหรือเป้าหมายที่เราต้องการจริง ๆ มีไม่กี่อย่าง หากสิ่งที่เราตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่เราไม่มีความใฝ่ฝันที่แท้จริง เราก็จะทำแค่พอสนุก พอมีปัญหาอะไรนิด อะไรหน่อย ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายหรือท้อถอย
เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายหรือท้อถอย เราก็จะไม่มีความเพียรพยายามต่อไป ทำให้สิ่งที่เราสร้างความหวังไว้ ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้
ดังนั้น ต้องถามตัวเองว่า สิ่งที่เราตัดสินใจเลือก เป็นสิ่งที่เราต้องการ และเป็นสิ่งทีเราชอบหรือไม่
2.2 เป็นความฝันที่เป็นสัมมาทิฐิหรือไม่
ความคิดของเรา อาจแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สัมมาทิฐิ และมิจฉาทิฐิ
2.2.1 สัมมาทิฐิ
สัมมาทิฐิ หมายถึง ความเห็นที่ถูกต้อง ชอบด้วยทำนองครองธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของบ้านเมือง และที่สำคัญต้องไม่ผิดกฎหมาย
หากความคิดหรือความฝันของเรา เป็นสัมมาทิฐิ ย่อมเป็นความคิดในด้านบวก เป็นความคิดสร้างสรรค์ ไม่ทำร้ายตนเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น และไม่ทำร้ายสังคม
2.2.2 มิจฉาทิฐิ
ความคิดหรือความฝันที่เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นความคิดหรือความฝันที่เป็นด้านลบ ซึ่งอาจจะเป็นความคิดที่ทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่น และทำร้ายสังคม และถ้าหากความคิดหรือความฝันนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของบ้านเมือง ก็อาจจะทำให้บุคคลนั้น ต้องถูกดำเนินคดี ติดคุกติดตะราง หรือไม่ก็ต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างประเทศ
การมีความคิดหรือความฝันที่เป็นมิจฉาทิฐิ ย่อมทำให้เจ้าตัวมีแต่ความรุ่มร้อน ไม่มีความสุข และยิ่งทำก็ยิ่งสร้างปัญหาและความทุกข์ให้แก่ตนเอง ครอบครัว คนใกล้ชิด และสังคม
ดังนั้น ถ้าหากอยากประสบความสำเร็จ จงอย่าสร้างความฝันที่เป็นมิจฉาทิฐิ แต่ให้สร้างความฝันที่เป็นสัมมาทิฐิ
2.3 เป็นความฝันที่เรามีทักษะ ความชำนาญหรือเชี่ยวชาญหรือไม่
มีบางสิ่งบางอย่างที่เราอาจจะชอบ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เราขาดทักษะ ความชำนาญหรือความเชี่ยวชาญ คงจะเป็นการยากที่เราจะทำให้ได้ดีหรือประสบความสำเร็จได้
คนอยากเป็นนักร้อง ทั้ง ๆ ที่ เป็นคนเสียงไม่ดี เสียงไม่ไพเราะ แม้จะได้รับการฝึกฝนอย่างดี โอกาสที่จะเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จคงยาก
คนอยากเป็นนักกีฬาอาชีพ แต่ตัวเองไม่มีทักษะด้านกีฬา โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในด้านการเป็นนักกีฬาอาชีพก็คงยากเช่นกัน
2.4 ไม่ต้องใสใจในคำวิจารณ์ของคนภายนอกมากนัก
อะไรก็ตามที่เป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ ก่อนจะประสบความสำเร็จ อาจจะมีคนวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้เราเกิดความท้อถอยได้
หากความฝันของเรา เป็นความฝันที่เราชอบ เป็นความฝันที่เป็นสัมมาทิฐิ และเป็นความฝันที่เรามีทักษะ หรือมีพรสวรรค์ ก็อย่าได้ไปใส่ในคำวิจารณ์ของคนภายนอกมากนัก เพราะคำวิจารณ์เหล่านั้นมักจะเป็นคำวิจารณ์ที่มีอคติ
ดังนั้น จงทำอย่างอีลอน มัสก์ ผู้ผลิต รถยนต์ไฟ้า และเป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2021 กล่าวไว้ว่า ไม่ต้องใส่ใจในคำวิจารณ์ของบุคคลภายนอกมากนัก
2.5 ต้องหมั่นให้กำลังใจตัวเองหรือแนะนำตนเอง (Auto-suggestion)
เมื่อได้ตัดสินใจที่จะเดินทางตามความฝันที่ตนเองชอบ เป็นสัมมาทิฐิ และตนเองมีทักษะ ชำนาญ หรือเชี่ยวชาญ สิ่งที่พึงกระทำต่อไปเพื่อให้มีพลังจิตเข้มแข็ง คือ ต้องหมั่นให้กำลังใจตนเอง หรือแนะนำตนเอง อยู่เสมอทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ ก่อนนอน และหลังตื่นนอน
การให้กำลังใจตนเองหรือแนะนำตนเองดังกล่าว เป็นกระบวนการสั่งจิตใต้สำนึก เพราะหากสิ่งใดก็ตามที่ฝังลึกลงอยู่ในจิตใต้สำนึกแล้ว สิ่งนั้นจะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนอัตโนมัติให้เราได้เป็นอย่างดี
การสั่งจิตใต้สำนึกทุกวัน จะทำให้เรามีพลังจิตที่เข้มแข็ง ไม่ย่อท้อ เพราะการสั่งจิตใต้สำนึก คือ การยืนหยัดในความฝันของเรา จึงเป็นแหล่งสร้างพลังแห่งความสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยม
3.ความมานะบากบั่น (Perseverance)
แม้มีพลังจิตที่เข้มแข็ง หากปราศจากความมานะบากบั่น ความสำเร็จตามความฝันที่ตั้งไว้ คงยากที่จะสำเร็จได้
ความมานะบากบั่น หมายถึง ความเพียรพยายาม ไม่ย่อท้อ แม้อาจจะประสบปัญหาอุปสรรคหรือความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม
คนที่ประสบสำเร็จไม่จำเป็นต้องมีสติปัญญาล้ำเลิศ มีแค่สติปัญญาธรรมดาก็ได้ ขอเพียงแต่มีความเพียรพยายาม มานะบากบั่น ไม่ย่อท้อ มีปัญหาอุปสรรคใด ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง ก็แก้ไขไป สักวันหนึ่งความสำเร็จย่อมจะเกิดขึ้นจนได้
คนที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นสาขาอาชีพใด ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียรทั้งสิ้น
นักกีฬาอาชีพระดับโลกที่มีรายได้สูง อย่างนักฟุตบอล นักกอล์ฟ นักเทนนิส ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีความขยันในการฝึกซ้อม อย่างไทเกอร์ วูด (Tiger Woods) นักกอล์ฟชั้นแนวหน้าของโลก ชาวอเมริกัน สายเลือดไทย หรือนักกอล์ฟชั้นแนวหน้าของโลกคนอื่น ๆ ต้องอยู่ในสนามฝึกซ้อมในแต่ละวัน ร่วม 8 ชั่วโมง
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จตามความฝันเหมือนคนอื่น ๆ ต้องเป็นคนมีความมานะบากบั่น มีความเพียรพยายาม ไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น
จงจำไว้ว่า ความสำเร็จที่แท้จริงมักจะได้มาโดยยาก แต่เมื่อได้มาแล้ว ก็คุ้มค่ากับความเหนื่อยยาก ผิดกับความสำเร็จจอมปลอมที่มักจะได้มาโดยง่าย และอยู่ได้ไม่นาน
4. พระมหาชนก
เมื่อครั้งพระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก ได้บำเพ็ญเพียรบารมีอย่างยิ่งยวด กล่าวคือ พระมหาชนกพร้อมด้วยลูกเรือได้เดินทางในมหาสมุทร มุ่งไปยังสุวรรณภูมิ ได้เกิดพายุในระหว่างเดินทาง ทำให้เรือเกิดอับปางลง บรรดาลูกเรือได้พากันจมน้ำตายหมด เหลือแต่พระมหาชนกพระองค์เดียวที่รอดอยู่ ทรงอดทนว่ายน้ำในมหาสมุทรด้วยความเพียร จนเวลาผ่านไปเจ็ดวันเจ็ดคืน นางมณีเมขลา เทพธิดาได้เดินทางตรวจมหาสมุทรผ่านมาพอดี
นางมณีเมขลาได้ถามพระมหาชนกว่า ทำไมจึงว่ายน้ำอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง พระมหาชนกตอบว่า แม้ว่าจะมองไม่เห็นฝั่ง แต่ก็เป็นหน้าทีที่ต้องเพียรพยายาม นางมณีเมขลาพอใจในคำตอบ จึงได้อุ้มพระมหาชนกไปยังมิถิลานคร ทำให้พระมหาชนก สามารถมีชีวิตอยู่รอด ไปชิงเอาบ้านเมืองกลับคืนได้
นิทานชาดก เรื่องพระมหาชนก เป็นอุทาหรณ์ในการสร้างความเพียร มีความมานะบากบั่น ไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรค แม้ว่าจะยังมองไม่เห็นความสำเร็จเลยก็ตาม
5. กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว (Rome was not built in a day.) เป็นสุภาษิตที่สอนให้ทราบว่า การสร้างกรุงโรมอันยิ่งใหญ่ ต้องใช้เวลานานกว่าจะสร้างสำเร็จได้ เป็นคำสอนให้คนรู้จักใช้ความมานะบากบั่น ถ้าหากอยากประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เฉกเช่นเดียวกันกับการสร้างกรุงโรม

(Wikipedia, Rome, 28th January2021
กรุงโรม เป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งของยุโรป ได้สร้างขึ้นเมื่อ 753 ปีก่อนคริสตกาล (753 BC) หรือเมื่อ 2,800 ปีที่ผ่านมา เคยเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรโรมัน (Roman Kingdom) สาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) และจักรวรรดิโรมัน (Roman Empire)
เมื่อปี ค.ศ.1871 เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลี (Kingdom of Italy) จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ.1946 จึงเปลี่ยนเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐอิตาลี (Italian Republic) ตราบเท่าทุกวันนี้
ในแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวกรุงโรมมาก อย่างเช่น เมื่อปี ค.ศ.2019 กรุงโรมเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยว เดินไปเที่ยวมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก จำนวน 10.1 ล้านคน และเป็นอันดับที่ 3 ของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป
กรุงโรมได้รับการจดทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของ UNESCO (World Heritage Site) และยังเป็นที่ตั้งขององค์การเกษตรและอาหาร (Food and Agriculture Organization)
6. กว่าจะได้เป็นประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden)
6.1 ภูมิลำเนา และวันเดือนปีเกิด
โจ ไบเดน เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1942 ปัจจุบันมีอายุ 79 ปี เกิดที่เมืองสแครนตัน (Scranton) มลรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา
6.2 การศึกษา

เรียนจบปริญญาตรีทางศิลปศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ และปริญญาทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยไซราคิวส์ (University of Syracuse)
6.3 การเป็นวุฒิสมาชิก
ได้รับเลือกตั้งให้เป็นวุฒิสมาชิกของมลรัฐเดลาแวร์เมื่อปี ค.ศ.1972 ขณะที่มีอายุ 29 ปี และได้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นเวลา 7 สมัยติดต่อกัน ระหว่างปีค.ศ.1973-2009
ในระหว่างดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกติดต่อกันเป็นเวลายาวนานถึง 37 ปี ได้มีโอกาสดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการที่สำคัญหลายคณะ เช่น
ประธานกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ (Chairman of the Senate Foreign Relations Committee)
ประธานที่ประชุมควบคุมยาเสพติดนานาชาติ (Chairman of the International Narcotic Control Caucus)
ประธานกรรมาธิการด้านตุลาการของวุฒิสภา (Chairman of the Senate Judiciary Committee)
6.4 การดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
โจ ไบเดน ได้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีอเมริกาในยุคสมัยประธานาธิบดี บารัก โอบามา(Barack Obama) เป็นเวลา 8 ปี สองสมัยติดต่อกัน ระหว่างปี ค.ศ.2009-2017
6.5 การสมัครเป็นตัวแทนพรรคเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ก่อนหน้านี้ โจ ไบเดน เคยสมัครเป็นตัวแทนพรรคดีโมแครตเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1988 ขณะที่มีอายุได้ 46 ปี และครั้งที่สอง เมื่อปีค.ศ.2008 ขณะที่มีอายุได้ 66 ปี
จะเห็นกว่า โจ ไบเดน กว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีอเมริกา คนที่ 46 ได้ ต้องใช้ความเพียรพยายาม มานะบากมั่นมาก เคยผิดหวังในการสมัครเป็นผู้แทนพรรคดีโมแครตเข้าชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยท้อถอย
แม้มีอายุมากเกือบจะ 80 ปี แต่โจ ไบเดน ก็ไม่ยอมแพ้ สมัครเป็นตัวแทนพรรคเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกา เป็นครั้งที่ 3 เมื่อปี ค.ศ.2020 คราวนี้ประสบความสำเร็จ ทำให้ได้เป็นประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 46 เมื่ออายุย่างเข้าปีที่ 79
นี่คือตัวอย่างของบุคคลผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งคนหนึ่ง เพราะมีพลังจิตอันเข้มแข็ง และมีความมานะบากบั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค โจ ไบเดน ประธานาธิบดีอเมริกา คนที่ 46
7. สรุป
การที่บุคคลจะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ นอกจากการมีแรงบันดาลใจ มีความใฝ่ฝัน มีความทะเยอทะยาน และมีความคิดสร้างสรรค์แล้ว การมีพลังจิตที่เข้มแข็ง และการมีความมานะบากบั่น นับว่า เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
เรื่องราวของพระมหาชนกก็ดี คำกล่าวที่ว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียวก็ดี และเรื่องราวของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 46 ผู้มีอายุร่วม 80 ปี ก็ดี ล้วนเป็นอุทาหรณ์ให้เห็นความสำเร็จที่เกิดจากการมีพลังจิตที่เข้มแข็ง และการมีความมานะบากบั่น เพียรพยายามทั้งสิ้น
สำหรับความคิดเห็นเพิ่มเติม กรุณาติดตามได้ใน คุยกับดร.ชา ท้ายบทความนี้
คุยกับดร.ชา
คู่สนทนาของผมในวันนี้ คือคุณนัดชา เช่นเดิม

“สวัสดี คุณนัดชา อาจารย์เห็นว่า คุณนัดชา มีความสนใจในเรื่องของการฝึกจิตให้เข้มแข็ง ก็เลยชวนมาสนทนากันวันนี้ ” ผมทักทายก่อน
“ สวัสดีค่ะ อาจารย์ ดิฉันดีใจ ที่อาจารย์ให้เกียรติดิฉันเป็นคู่สนทนาในวันนี้ เพราะการฝึกจิตนี้ ดิฉัน สนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ” คุณนัดชาตอบรับด้วยความยินดี
“ในความเห็นของคุณนัดชา คิดว่า การสร้างพลังจิตให้เข้มแข็งทำได้ไหม ” ผมถามประเด็นแรก
“ดิฉันเชื่อว่า ทำได้แน่ อย่างพวกโยคี หรือพระที่มุ่งฝึกการปฏิบัติ หรือนักบวชในศาสนาต่าง ๆ บุคคลเหล่านี้ ย่อมได้รับการฝึกจิตให้เข้มแข็งกว่าคนธรรมดาทั่วไป ” คุณนัดชาแสดงทัศนะออกมา

เข้มแข็ง เพราะการบำเพ็ญตบะอย่างจริงจัง
“ เรื่องราวของพระมหาชนก คุณนัดชา คิดอย่างไร ” ผมถามประเด็นที่สอง
“ ดิฉันว่าดีค่ะ เพราะเป็นการสอนให้คนรู้จักใช้ความพยายาม แม้จะยังไม่เห็นฝั่งหรือความสำเร็จว่าอยู่ตรงไหน แต่คนอย่างพระมหาชนก ก็ไม่ถอดใจ ไม่ละความพยายาม อดทนว่ายน้ำในมหาสมุทรเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน จนกระทั่งนางมณีเมขลาได้มาพบเข้า จึงได้อุ้มไปส่ง เมืองมิถิลา ทำให้สามารถชิงเอาราชสมบัติคืนได้” คุณนัดชาอธิบายแบบคนเข้าใจเรื่องราวดี
“ สุภาษิตฝรั่งที่ว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว คุณนัดชาเข้าใจว่าอย่างไร ” ผมถามประเด็นที่สาม
“ดิฉันเข้าใจว่า สุภาษิตนี้ ต้องการสอนคนที่เกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย หมดกำลังใจ ให้เกิดความฮึกเหิมขึ้นมาว่า กรุงโรมทีใหญ่โตนั้น กว่าจะสร้างได้ต้องใช้เวลานานมาก ไม่ใช่แค่วันเดียว
ความสำเร็จของคนเราก็เช่นกัน หากเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ก็ต้องใช้เวลา พลังจิตที่เข้มแข็ง และความเพียรพยายามมากเป็นพิเศษ
ดังนั้น หากใครต้องการประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ก็ขอให้นึกถึงสุภาษิตฝรั่งบทนี้ ซึ่งจะใช้เตือนใจเราหรือสอนใจเราได้เป็นอย่างดี” คุณนัดชาตอบได้อย่างคล่องแคล่ว
“เรื่องราวของ โจ ไบเดน คุณนัดชามีความเห็นอย่างไร ”ผมถามความเห็นประเด็นสุดท้าย
“ เรื่อง โจ ไบเดน ดิฉันยอมรับว่า ชื่นชมในตัวท่านจริง ๆ ที่มีความมานะบากบั่น ไม่ย่อท้อ ในเมื่อได้ตั้งเป้าหมายหรือความใฝ่ฝันอันสูงสุดไว้แล้วว่า จะต้องเป็นประธานาธิบดีอเมริกาให้ได้ ท่านก็ไม่ยอมถอย แม้จะเคยพ่ายแพ้ในการสมัครเป็นผู้แทนพรรคดีโมแครตชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้วถึง 2 หน ในขณะที่มีอายุได้ 46 ปี และ 66 ปี ตามลำดับ
ท่านเพิ่งมาประสบความสำเร็จในการสมัครเป็นผู้แทนพรรค ในครั้งที่ 3 เมื่อมีอายุ 78 ปี แสดงว่าสุขภาพของท่านต้องแข็งแรงดีมาก มิฉะนั้น จะไม่มีทางผ่านมติที่ประชุมใหญ่ของพรรคให้เป็นตัวแทนพรรคได้เลย ” คุณนัดชากล่าวแสดงความชื่นชม โจ ไบเดน ด้วยใจจริง
“ อาจารย์เองก็เห็นด้วยกับความเห็นของคุณนัดชา นับว่า โจ ไบเดน เป็นตัวอย่างแก่ผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดีว่า วัยไม่เป็นอุปสรรคในการสานฝัน ถ้าสุขภาพแข็งแรงดี
วันนี้ ต้องขอขอบคุณ คุณนัดชามาก ที่สละเวลามาพูดคุยกับอาจารย์ถึงสองครั้งติดต่อกัน
โอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่นะ ” ผมกล่าวยุติการสนทนา
“ ด้วยความยินดีค่ะ อาจารย์”
สมัยยังเยาว์วัยหนูไม่มีเป้าหมายในชีวิตเหมือนพี่ ชายและพี่สาว หนูอยากไปทำงานกรุงเทพ
หนูรู้จักเป้าหมายในชีวิตได้มีการพูดคุยกับอาจารย์ในเรื่องการฝึกจิต แต่ก่อนก็เคยติดตามและฟังไลฟ์โค้ช วันหนึ่งมีการแฉชีวิตโค้ช หนูจึงเลิกติดตามทันทีค่ะ
โจ ไบเดน เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคน หนูก็มีแรงบันดาลใจในวัย42ปี เช่นกัน อยากเป็นนักแปลและล่าม ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับการฝึกฝนอย่างมีวินัยค่ะ
ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ ที่ให้เกียรติหนูมาเป็นคู่สนทนากับอาจารย์ในวันนี้
เห็นว่า คุณนัดชามีความเหมาะสมกับบทความนี้
ประโยคที่ว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับตัวเรา เกิดจากการสั่งจิตใต้สำนึกให้เกิดแต่ต้องเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และสามารถเกิดขึ้นได้จริง ไม่ใช่อยู่เฉยๆแล้วเกิดขึ้นเอง ค่ะ
ใช่แล้ว จิตใต้สำนึกเป็นตัวกระต้นให้เกิดการกระทำ หากไม่มีการกระทำจริง ๆ ความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอน
อาจารย์ได้รับแรงบันดาลใจจากอะไรคะ ในการเขียนบทความเรื่องนี้ ขอบคุณค่ะ
ก็ไม่มี อะไรมาก หากศึกษาประวัติบุคคลผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีพลังจิตเข้มแข็ง และมีความมานะบากบั่นด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีใครได้ความสำเร็จมาง่าย ๆ
น่าสนใจมรกค่ะท่านอาจารย์
หมายถึงเรื่องรัฐประหารในพม่านั้นเหรอ
ขอบคุณครับ