กว่าจะรักษา ดินแดน ไทยไว้ได้ เป็นบทความลำดับที่ 6 ของหมวด 9 เรื่องเล่า ประเทศไทย กับชาติมหาอำนาจ ประกอบด้วย ความนำ สถานการณ์คุกคามการรักษา ดินแดน ฯ ในรัชกาลก่อน สถานการณ์คุกคามการรักษา ดินแดน ฯ ในรัชกาลที่ 5 การเสียดินแดนในยุครัชกาลที่ 5 การเสียดินแดนที่ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงโทมนัสที่สุด สรุป และคุยกับดร. ชา
อนึ่ง บทความก่อนหน้านี้ (5) ได้กล่าวถึง การ ประนีประนอม ได้ทำให้ชาติไทยรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา
Table of Contents
1.ความนำ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรชาวไทยนับตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ด้วยทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อพัฒนาสยามประเทศให้เป็นรัฐสมัยใหม่ มีความเจริญทัดเทียมอารยประเทศ จนทำให้พระองค์ได้รับพระราชสัญญานามว่า พระปิยมหาราช หรือพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นที่รักยิ่งของปวงชน ดังจะเห็นได้ว่า ทุกวันที่ 23 ตุลาคม จะมีพิธีวางพวงมาลาหน้าพระบรม ราชานุสาวรย์ของพระองค์ทั่วราชอาณาจักรไทย ดังจะเห็นได้จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และสมเด็จพระบรมราชินี ฯ ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลา เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2563 ด้วย
การต่อสู้ภัยคุกคามของชาติมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมแห่งยุค ที่หมายมั่นจะเอาดินแดนไทยเป็นเมืองขึ้นให้ได้ ทำให้พระองค์ถึงเกือบจะสิ้นพระชนมชีพที่ถูกนักล่าอาณานิคมกดดันและบีบคั้นอย่างไร้ความปรานีต่อสยามประเทศ มุ่งจะเอาประโยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียว
ดังนั้น เราคนรุ่นหลังจึงควรศึกษาเรื่องราวและเหตุการณ์ตามประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ว่า สถานการณ์เลวร้ายเพียงใด และพระองค์ทรงแก้ไขสถานการณ์อันเลวร้ายนั้นด้วยพระสุขุมคัมภีรภาพได้อย่างไร จึงสามารถรักษาเอกราชของสยามไว้ได้ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านล้วนตกเป็นเมืองขึ้นของนักล่าเมืองขึ้นกันหมด
2.สถานการณ์คุกคามการรักษา ดินแดนไทยในรัชกาลก่อน
บทความที่แล้ว (5) การประนีประนอม ทำให้ชาติไทยรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา ผมได้เล่าให้ท่านทราบว่า ชาติมหาอำนาจตะวันตกเริ่มมีภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรไทย กล่าวคือ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 อังกฤษได้แสดงแสนยานุภาพยึดพม่าเป็นเมืองขึ้นสำเร็จเมื่อปีพ.ศ.2368 อันเป็นผลทำให้ไทยต้องเสียเมืองแสนหวี เมืองเชียงตุง และเมืองพง ให้อังกฤษด้วย ในขณะเดียวกัน อังกฤษได้ขอเช่าเกาะหมาก (เกาะปีนัง) จากไทย และทำสนธิสัญญาค้าขายกันตามสนธิสัญญาเบอร์นี เมื่อพ.ศ.2368
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ชาติมหาอำนาจตะวันตกอีกชาติหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่แข่งกัน คือฝรั่งเศส ได้แสดงแสนยานุภาพยึดญวนเป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จ จึงถือโอกาสคุกคามไทยด้วยการยื่นคำขาดให้ไทยหรือสยามยอมยกดินแดนเขมรส่วนนอกให้ฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ.2406 และในที่สุดไทยก็ต้องยอมให้เขมรส่วนนอกตกเป็นของฝรั่งเศสไปเมื่อปีพ.ศ.2410
ยิ่งกว่านั้น เมื่อปีพ.ศ.2398 สยามได้ทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษเพื่อเจริญพระราชไมตรีและทำการค้าขายต่อกัน แต่ก็ทำให้ไทยจำต้องยอมเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตหรือเอกราชทางศาลให้แก่อังกฤษด้วย หลังจากนั้น ก็มีชาติยุโรปอีกหลายชาติขอทำสนธิสัญญากับไทยในทำนองเดียวกันกับสนธิสัญญาบาวริ่ง
3.สถานการณ์คุกคาม การรักษา ดินแดน ไทยในยุครัชกาลที่ 5
เป้าหมายใหญ่ของชาติมหาอำนาจตะวันตก นักล่าอาณานิคม คือ ต้องการให้สยามหรือประเทศไทย ตกเป็นอาณานิคมหรือเมืองขึ้นเหมือนอย่างประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติมหาอำนาจตะวันตกมาก่อนอย่างอินเดีย พม่า อินโดนีเซีย มลายูหรือมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และญวนหรือเวียดนาม

กลยุทธ์ของชาติมหาอำนาจ
ในการล่าเมืองขึ้น ชาติมหาอำนาจเหล่านี้ มิได้ยกกองทัพใหญ่โตมายึดครอง แต่ได้ใช้กลยุทธ์ทำให้ประเทศเป้าหมายเกิดการแตกแยกภายในทีละน้อยเพื่อทำให้อ่อนแอ ตามหลักของการแบ่งแยกแล้วปกครอง
ยิ่งกว่านั้น ยังใช้กลยุทธ์ในการสร้างแรงกดดันและบีบคั้นด้วยการยื่นข้อเสนอที่ประเทศเป้าหมายยากที่จะปฏิเสธได้เพราะไม่มีกำลังทหารเข้มแข็งเท่ากับประเทศมหาอำนาจ ซึ่งแม้มีกำลังทหารจำนวนไม่มาก แต่มีขีดความสามารถเหนือกว่ากันมาก เพราะเป็นกองทัพสมัยใหม่ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูง
หากประเทศเป้าหมายประเทศใด ไม่ยอมอ่อนตามข้อเสนอ ก็จะหาเรื่องทำสงครามยึดเอาประเทศนั้นเป็นเมืองขึ้นทันที
ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้ไทยหรือสยามจำต้องยอมเสียดินแดนให้ชาติมหาอำนาจทีละน้อย เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้ให้ได้ ตามหลักที่ว่า ยอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ หรือยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
4.การเสียดินแดนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เสด็จเสวยราชสมบัติเป็นเวลายาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ในอดีต กล่าวคือได้เสด็จเสวยราชสบัติระหว่างปีพ.ศ.2411-2453 รวมเป็นระยะเวลา 42 ปี
ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีเหตุการณ์คับขันหลายครั้งเกือบจะตลอดรัชกาล หากไม่ใช่เพราะพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพอย่างแท้จริงของพระองค์ ไทยหรือสยามก็คงตกเป็นเมืองขึ้นของชาติมหาอำนาจเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน
เหตุการณ์การเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสและอังกฤษในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีจำนวนหลายครั้ง สรุปได้ดังนี้
4.1 เสียดินแดนสิบสองจุไท หรือสิบสองเจ้าไทย พื้นที่ 87,000 ตร.กม. ให้แก่ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2431 โดยฝรั่งเศสอ้างว่า มาช่วยไทยปราบกบฏฮ่อ พอปราบเสร็จก็ไม่ยอมถอนทหารออกไป ถือโอกาสยึดครองดินแดนสิบสองจุไทต่อ
4.2 เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง พื้นที่ 143,000 ตร.กม. ซึ่งเป็นดินแดนส่วนใหญ่ของประเทศลาวให้แก่ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 จากกรณีวิกฤตการณ์ปากน้ำเมื่อร.ศ.112 โดยฝรั่งเศสได้ส่งเรือรบมาปิดอ่าวไทย พร้อมยื่นคำขาดและบีบให้ไทยยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ และต้องให้คำตอบภายในเวลา 48 ชั่วโมง

ไทยได้ทำการโต้แย้ง จึงทำให้ฝรั่งเศสส่งกองเรือรบมาปิดอ่าวไทย และนำเรือรบแล่นเข้าแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 ไทยจึงจำต้องยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขของฝรั่งเศส และฝรั่งเศสได้ถอนเรือออกจากการปิดอ่าวไทยเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436

ท่านอาจศึกษาเรื่องราวของป้อมพระจุลจอมเกล้ากับเหตุวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ได้จากเว็บไซต์นี้้
นอกจากเสียดินแดนดังกล่าวแล้ว ไทยยังต้องจ่ายเป็นค่าทำขวัญและค่าปรับเป็นเงินฝรั่งเศส จำนวน 2 ล้านฟรังค์ และต้องจ่ายเป็นค่าประกันว่าจะต้อปฏิบัติตามสัญญาเป็นเงินไทยอีก 3 ล้านบาท เท่านั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสยังได้ส่งทหารยึดเมืองจันทบุรีและเมืองตราดไว้เป็นเวลา 15 ปี
ในการชำระเงินตามข้อเรียกร้องดังกล่าวของฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้ใช้เงินถุงแดงหรือเงินพระคลังข้างที่ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเก็บรักษาไว้ให้ใช้รักษาชาติบ้านเมืองเวลาเกิดคับขัน
4.3 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ด้านตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง และเมืองจำปาศักดิ์หรือปากเซเนื้อที่ 62,500 ตร.กม. เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2446 ทั้งนี้เพื่อแลกกับการให้ฝรั่งเศสคืนจันบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสกลับยึดตราดต่ออีก 5 ปี นอกจากนี้ยังได้ยึดเอาอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยไว้ด้วย
4.4 เสียมณฑลบูรพา (เขมรส่วนใน ได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ) พื้นที่ 51,000 ตร.กม. ให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนกับกับตราด จันทบุรี ที่ฝรั่งเศสได้ยึดไว้ตอนเกิดเหตุการณ์ ร.ศ.112 รวมทั้งเกาะกง และด่านซ้าย ตลอดจนขอคืนอำนาจทางศาลหรือสิทธิภาพนอกอาณาเขตให้ไทย เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2449
ฝรั่งเศสยอมถอนทหารออกจากตราดและด่านซ้าย เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2450 แต่ไม่ยอมคืนเกาะกงให้
4.5 เสียรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และปริส เนื้องที่ 80,000 ตร.กม. ให้อังกฤษ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2451 เพื่อแลกกับอำนาจทางศาลหรือสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
(พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ, ประวัติศาสตร์ไทย 2 ราชวงศ์จักรี, 2551, หน้า 499-501)
อนึ่ง ท่านอาจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในเว็บไซต์นี้
5.การเสียดินแดนที่ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงโทมนัสมากที่สุด
การเสียดินแดนแต่ละครั้ง ย่อมทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ทรงโทมนัสมาก แต่ครั้งที่ทำให้พระองค์ทรงโทมนัสมากที่สุด คือ การเสียดินแดนลาวและมลายู ถึงกับทำให้พระองค์ทรงพระประชวร ดังมีพระราชดำริว่า “เห็นจะถึงที่สุดแห่งพระชนมชีพ” (พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ, หน้า 501)
6.สรุป
บทความ”กว่าจะรักษา ดินแดน ไทยไว้ได้ ” ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า ในยุคที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสแข่งกันล่าอาณานิคม สยามเองถูกกดกันและบีบคั้น เป็นอย่างมาก จำเป็นต้องยอมประนีประนอมในสภาพที่ต้องยอมเสียเปรียบ เพราะหากไม่ยอมรับเงื่อนไขที่ชาติมหาอำนาจเสนอ ก็จะกลายเป็นข้ออ้างให้เขาส่งกองกำลังทหารสู้รบหรือทำสงครามเพื่อเอาชัยชนะขั้นเด็ดขาด
การสู้รบกับชาติมหาอำนาจ หากสยามไม่รู้จักประเมินศักยภาพของตนเองว่า จะสามารถเอาชนะศัตรูได้หรือไม่ ก็คงไม่ต่างอะไรกับการมีความกล้าหาญแต่ขาดความเฉลียวฉลาดหรือขาดสติปัญญา ไม่ผิดกับการที่แมลงเม่าบินเข้ากองไฟนั่นเอง
แต่บูรพมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีล้วนทรงมีพระปรีชาสามารถและทรงมีพระสุขุมคัมภีรภาพอย่างลึกซึ้ง จึงทำให้สยามเป็นประเทศเดียวในแถบนี้ที่สามารถเอาตัวรอดจากการตกเป็นเมืองขึ้นของชาติมหาอำนาจตะวันตกผู้กระหายอำนาจได้อย่างทระนงองอาจ และทำให้ลูกหลานไทยภาคภูมิใจตราบเท่าทุกวันนี้ แม้ว่าจำเป็นต้องยอมเสียดินแดนไปเป็นจำนวนไม่น้อยเลยก็ตาม
สำหรับความคิดเห็นเพิ่มเติม อ่านได้ในหัวข้อ คุยกับดร.ชา ท้ายบทความนี้
คุยกับ ดร.ชา
คู่สนทนาของผมวันนี้ คือ คุณประเสริฐ (ชื่อสมมุติ) เหมือนคราวที่แล้ว
“สวัสดี คุณประเสริฐ วันนี้เรามาคุยกันเรืองการรักษา ดินแดน ไทยไว้ โดยจะเน้นในรัชสมัยของ รัชกาลที่ 5
อาจารย์ขอทราบความเห็นของคุณประเสริฐในประเด็นแรกเลยว่า การเสียดินแดนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอยู่หลายครั้ง คุณประเสริฐคิดว่า การเสียดินแดนครั้งใดที่สร้างความเจ็บปวดให้สยามได้มากที่สุด เป็นเพราะเหตุใด ” ผมถามจุดสำคัญเลย
“ สวัสดีครับ อาจารย์ ตามความเห็นของผม คิดว่าน่าจะเป็นครั้งที่เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศลาว เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 พื้นที่ 143,000 ตร.กม. อันเป็นผลจากเหตุวิกฤตการณ์ ร.ศ.112
เพราะนอกจากเสียดินแดนดังกล่าวแล้ว ไทยยังถูกบีบบังคับให้ต้องจ่ายเงินเพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้เป็นจำนวนมหาศาล โดยแยกเป็นค่าทำขวัญและค่าปรับเป็นเงินฝรั่งเศส จำนวน 2 ล้านฟรังค์ และต้องจ่ายเป็นค่าประกันว่าจะต้อปฏิบัติตามสัญญาเป็นเงินไทยอีก 3 ล้านบาท เท่านั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสยังได้ส่งทหารยึดเมืองจันทบุรีและเมืองตราดไว้เป็นเวลา 15 ปี
การหาเงินฟรังค์และเงินบาทจำนวนมากมหาศาลเช่นนั้น หากไม่ได้เงินถุงแดงหรือเงินพระคลังข้างที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงหาไว้จากการค้าสำเภากับจีนเก็บรักษาไว้ใช้ในยามชาติตกอยู่ในภาวะคับขัน ตลอดจนการยอมเสียสละของพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ด้วยการเอาทองเพชรนิลจินดาส่วนพระองค์และส่วนตัวออกมาขายเอาเงินมาสมทบ สยามคงไม่แคล้วต้องตกเป็นขี้ข้าฝรั่งเศสในคราวนั้นแน่ ” คุณประเสริฐพูดถึงเรื่องราวในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยด้วยความเศร้าสลด
“ พูดถึงเรื่องนี้ก็น่าเศร้าใจมากนะ ที่จู่ ๆ ในครั้งหนึ่งประเทศชาติของเรา ต้องเผชิญวิกฤตการณ์ร้ายแรงถึงขั้นต้องหาเงินทองจำนวนมหาศาลมาไถ่ถอนประเทศของตนจากนักล่าอาณานิคม ช่างเลวร้ายเหมือนนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับลูกแกะทีเดียว
อาจารย์ขอทราบความคิดเห็นของคุณประเสริฐว่า ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยต้องเสียดินแดนให้อังกฤษและฝรั่งเศส เป็นจำนวนหลายครั้งและมีขนาดพื้นที่รวมกันเป็นจำนวนมาก แต่ทำไมปวงชนชาวไทยจึงยกย่องและเทิดทูนพระองค์ท่านว่า เป็นพระปิยมหาราช ” ผมถามเข้าสู่จุดสำคัญเลย
“ สำหรับเรื่องนื้ หากพิจารณาเผิน ๆ ก็ดูเหมือนว่า รัชกาลที่ 5 ไม่ทรงมีพระปรีชาสามารถ เพราะปล่อยให้อังกฤษและฝรั่งเศสยึดดินแดนของไทยไปได้เป็นจำนวนมาก
แต่ถ้าพิจารณาในเชิงลึก จะเห็นได้ว่า พระองค์มีพระปรีชาสามารถสูงมาก เพราะการจะไปสู้รบเพื่อเอาชนะอังกฤษหรือฝรั่งเศสซึ่งกำลังแข่งกันแผ่อำนาจแลอิทธิพลไปทั่วโลกในเวลานั้น ประเทศแล้วประเทศเล่าล้วนต้องตกเป็นเมืองขึ้นเขาทั้งนั้น เพราะไม่รู้จักประเมินสถานการณ์และไม่รู้จักประเมินตนเอง รบไปก็มีแต่แพ้อย่างเดียว ” คุณประเสริฐตอบเหมือนยังอมภูมิไว้บางส่วน
“ที่คุณประเสริฐตอบมาก็ถูกต้อง แต่ยังไม่ชัดเจนพอ อยากให้ตอบให้ชัดกว่านี้หน่อยได้ไหม ” ผมถามจี้จุด
“ ได้ครับ อาจารย์ ผมคิดว่า การที่พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งจะได้รับการยกย่องหรือเทิดพระเกียรติให้เป็นมหาราช ไม่ใช่ง่ายเลย พระองค์ต้องทรงมีผลงานโดดเด่นจนเป็นที่ประจักษ์ว่า ได้ทรงสร้างคุณูปการไว้ให้แก่ชาติอย่างใหญ่หลวง ส่วนจะเป็นผลงานที่โดดเด่นด้านใดและอะไรบ้างนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือสภาวะแวดล้อมในรัชสมัยของพระองค์ว่าเป็นอย่างไร
หากพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาวิกฤตของชาติ และสามารถทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ก็ย่อมจะทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า เป็นมหาราชอย่างแน่นอน ” คุณประเสริฐตอบแบบร่ายยาว
“ ถ้าเช่นนั้น พระราชกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ของล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ 5 มีอะไรบ้างที่มองเห็นได้ชัด ” ผมถามแหย่เข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง
“ ผมว่า เรื่องพระราชกรณียกิจของล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ 5 มีมากจนสุดที่พรรณนาได้หมดในระยะเวลาอันสั้น แต่ผมขอสรุปอย่างรวบยอดก็คือ ทรงปฏิรูปสยามประเทศให้เป็นประเทศสมัยใหม่ทัดเทียมอารยประเทศในยุคนั้นเลยทีเดียว ” คุณประเสริฐตอบสรุปจนได้
“ ดีมาก คุณประเสริฐ เป็นคำตอบที่ชัดเจน วันนี้เราคงมีเรื่องคุยกันเท่านี้ก่อน ขอบคุณมาก มีโอกาสค่อยคุยกันใหม่ ” ผมกล่าวขอบคุณพร้อมยุติกาสนทนา
“ด้วยความยินดีครับ อาจารย์ ”
ดร.ชา
27/11/20
ทันสมัยมากค่ะอาจารย์ อยากให้เด็กๆ บ้านเราได้อ่านได้รู้จังเลยค่ะ ประดับปัญญาประกอบความคิดได้
นั่นสินะ ถึงเด็กไม่ได้อ่าน ผู้ใหญ่ได้อ่าน ถ้ามีโอกาสก็เล่าให้เขาฟังได้
หนูเคยขอพรกับเสด็จพ่อ ร 5 แล้วประสบผลสำเร็จค่ะ หนูนับถือและศรัทธาด้วยค่ะ
อยู่อุบลราชธานี หนูก็นับถือเจ้าสรรพสิทธิประสงค์ เคยไปขอพรแล้วทำให้หนูปลอดภัยจากพวกหมอดูสายดำค่ะ
ยินดีด้วยที่คุณณัชชาสมหวัง
มาตรา112 ที่ใช้ในยามคับขัน มาจาก รศ112 หรืออย่างไรคะอาจารย์ ขอบคุณค่ะ
ไม่เกี่ยวกัน ตัวเลขตรงกันโดยบังเอิญ
การทำสงครามกับชาติตะวันตก ถ้าประเทศไทยเราทำสงครามด้วย หมายถึงแพ้ชาติตะวันตก
เครื่องมือไม่ทันสมัย จึงต้องใช้ปัญญาในการทำสงครามค่ะ