การประนีประนอมหรือการเจรจาทำความตกลง ทำให้ชาติไทยรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา หรือการตกเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจตะวันตก นับเป็นบทความลำดับที่ 5 ของหมวด 9 เรื่องเล่า ประเทศไทยกับชาติมหาอำนาจ โดยจะกล่าวถึง พระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 10 เกี่ยวกับการชุมนุม การประนีประนอมในยุครัชกาลที่ 3 การเจรจาทำความตกลงในยุครัชกาลที่ 4 สรุป และคุยกับดร.ชา
บทความก่อนหน้านี้ คือ บทความ (3) ศรัทธาต่อสถาบันหลักของชาติอย่างแรงกล้า ทำให้ไทยชนะสงครามเย็น
Table of Contents
1.พระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 10 เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง
ในสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน กลุ่มม็อบที่เรียกชื่อว่า “ คณะราษฎร 2563”ได้ตั้งข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ ให้นายกรัฐมนตรีลาออก ให้ยกร่างรัฐธรรมใหม่ และให้มีการปฏิรูปสถาบัน ท่ามกลางมีกระแสข่าวการแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของไทยจากชาติมหาอำนาจตะวันตกบางชาติ

มีครั้งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ รัชกาลที่ 10 ได้พระราชทานสัมภาษณ์สื่อมวลตะวันตกในวโรกาส เสด็จพระราชดำเนินไปเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวของพระแก้วมรกต ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ว่า พระองค์มีความคิดเห็นอย่างไรต่อสถานการณ์ชุมนุมในขณะนั้น
พระองค์ได้มีพระราชดำรัสตอบว่า “ไทยเป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม”
จากพระราชดำรัสดังกล่าวของในหลวงรัชกาลปัจจุบัน ทำให้ผมเกิดความคิดที่อยากจะย้อนกลับไปดูข้อมูลประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ว่า สยามประเทศสามารถเอาตัวรอดจากปากเหยี่ยวปากกาหรือการตกเป็นนิคมของชาติมหาอำนาจตะวันตกได้อย่างไร ในขณะประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียและอาเซียนล้วนแล้วแต่ตกเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจตะวันตกเกือบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ประเทศใหญ่อย่างอินเดียซึ่งในเวลานั้นยังรวมเอาประเทศปากีสถานและบังกลาเทศเข้าไว้ด้วย
ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า พระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงมีพระอัจฉริยภาพในการกำหนดรัฐประศาสโนบายในการรักษาอธิปไตยของชาติไว้ให้ลูกหลานภูมิใจด้วยการเจรจาทำความตกลงเป็นหลัก ดังจะได้เล่าให้ทราบตามลำดับต่อไป
ในการย้อนรอยประวัติศาสตร์ดังกล่าว จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ
เหตุการณ์ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3
เหตุการณ์ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4
เหตุการณ์ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5
แต่ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะ เหตุการณ์ในยุครัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ก่อน
2. การประนีประนอมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตามประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยกับพม่า มีเหตุต้องทำสงครามกันตลอดมา แต่ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 การทำสงครามระหว่างไทยกับพม่ากลายเป็นสิ่งล้าสมัยไปแล้ว เพราะเป็นช่วงที่พม่าต้องคอยวุ่นวายรบกับอังกฤษ แต่ก็ทำให้ไทยต้องคอยระมัดระวังภัยจากการคุกคามจากชาติมหาอำนาจตะวันตก

ดังที่พระองค์เคยตรัสไว้ก่อนเสด็จสวรรคตว่า
“ การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่า ก็เห็นจะไม่มีอีกแล้ว จะมีแต่ข้างพวกฝรั่งให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีเขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่ดีควรจะร่ำเรียนเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปเลยทีเดียว ” ( พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ,ประวัติศาสตร์ไทย 2 ราชวงศ์จักรี,2551, หน้า260)
เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากชาติมหาอำนาจตะวันตก พระองค์ทรงให้เร่งสร้างป้อมปราการทางทะเลและกองทัพเรือตามเมืองสมุทรทั้งสามแห่ง และตั้งเมืองต่าง ๆ ไว้ป้องกันราชอาณาจักร (หน้า 273)
ในรัชสมัยของพระองค์มีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับการเจรจาทำความตกลงกับชาติมหาอำนาจตะวันตกที่ควรทราบ 2 ประการ คือ
2.1 สนธิสัญญาเบอร์นี
เมื่อปีพ.ศ.2368 อุปราชอังกฤษแห่งอินเดียได้ส่ง ร้อยเอก เฮนรี เบอร์นี เดินทางมาเจรจาทำสัญญาพระราชไมตรีกับไทย เรียกว่า สนธิสัญญาเบอร์นี โดยได้ลงนามเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2368 โดยมีข้อตกลงกันว่า ไทยยอมให้อังกฤษเช่าเกาะหมาก (เกาะปีนัง) และอังกฤษยอมให้ไทยเก็บภาษีปากเรือตามความกว้างของปากเรือ (พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ,หน้า 244)
2.2 สยามจำต้องเสียดินแดนจำนวน 3 เมือง ให้อังกฤษ
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2368 อังกฤษสามารถยึดเมืองพม่าทั้งหมดเป็นเมืองขึ้นได้ แต่ก็เป็นสาเหตุทำให้ไทยต้องเสียเมือง 3 เมืองให้อังกฤษ คือ เมืองแสนหวี เมืองเชียงตุง และเมืองพงให้อังกฤษ โดยอังกฤษอ้างว่า ทั้งสามเมืองเคยเป็นของพม่ามาก่อน เมื่อพม่าตกเป็นของอังกฤษแล้ว ทั้งสามเมืองก็ต้องตกเป็นของอังกฤษด้วย (พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ,244)
ทั้งสองเหตุการณ์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า พระองค์ถือหลักการเจรจาทำความตกลงกับชาติมหาอำนาจ ยอมเสียดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยของสยามไว้ดีกว่า เพราะถ้าสยามไม่ยินยอม ก็อาจเป็นเหตุทำให้อังกฤษนำมาเป็นข้ออ้างในการทำสงคราม หากพลาดท่าเสียทีก็คงไม่แคล้วตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษเหมือนอย่างพม่า

3. การเจรจาทำความตกลงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบรมราโชบายการต่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงตระหนักถึงภัยจากการแสวงหาอาณานิคมของชาติมหาอำนาจตะวันตกโดยเฉพาะอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสที่ได้เข้ามาแข่งขันสร้างอิทธิพลทางกาเมืองและการค้าในช่วงปี พ.ศ.2394-2411 ทำให้พระองค์ต้องยอมรับเอาอิทธิพลทางอารยธรรมของชาติตะวันตกมาพัฒนาบ้านเมืองให้ทันสมัย และยอมที่จะเปิดทำการค้าขายกับต่างประเทศ เพื่อป้องกัน มิให้สยามถูกบีบบังคับจนต้องเสียเอกราชของประเทศ (พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ, หน้า 236)
สำหรับเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับการเจรจาทำความตกลงกับชาติมหาอำนาจที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 สรุปได้ดังนี้
3.1 การทำสนธิสัญญาบาวริ่ง เมื่อปี พ.ศ.2398
รัฐบาลอังกฤษได้ส่งเซอร์ จอห์น บาวริ่ง เจ้าเมืองฮ่องกง ให้เป็นราชทูตมาเจริญไมตรีกับสยาม และได้ทำสนธิสัญญาค้าขายกันเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2389 โดยอนุญาตให้อังกฤษตั้งกงสุลในไทยได้
การอนุญาตให้อังกฤษตั้งกงสุลในไทยได้ส่งผลตามมาคือ เมื่อมีคดีความแพ่งและความอาญาเกิดขึ้นกับคนในบังคับอังกฤษ กงสุลอังกฤษจะเป็นผู้มีอำนาจจัดการชำระคดี ดังนั้น จึงทำให้อังกฤษเป็นชาติแรกที่เริ่มมีอำนาจอย่างสมบูรณ์ทางศาลและดูแลกิจการทั่วไปของผู้ที่อยู่ในอำนานจของกงสุลในสยาม (พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ, หน้า 346-347)
หลังจากนั้น สยามก็ได้ทำสนธิสัญญาพระราชไมตรีกับอีกหลายประเทศในทำนองเดียวกันที่ได้ทำกับอังกฤษ ได้แก่ ญี่ปุ่น อเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส เยอรมัน สวีเดน เบลเยี่ยม
3.2 การส่งราชทูตไปอังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นครั้งแรก
เมือปีพ.ศ.2400 ทรงส่งราชทูตไปประจำอังกฤษเป็นครั้งแรก (พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ, หน้า 354)
เมื่อปี พ.ศ.2403 ทรงส่งราชทูตไปประจำฝรั่งเศส (หน้า360)
3.3 การเสียเขมรนอกให้ฝรั่งเศส
เดิมเมื่อปีพ.ศ. 2337 การปกครองเขมรแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
เขมรส่วนใน (พระตะบอง เสียมราฐหรือนครวัต และศรีโสภณ) โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ไปปกครองต่างพระเนตรพระกรรณ
เขมรส่วนนอก โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระนารายณ์ไปครอง แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2406 พระนโรดม พระเจ้าแผ่นดินของเขมรได้เอาใจออกห่างสยามไปขอความคุ้มครองจากฝรั่งเศส ซึ่งเพิ่งได้ญวนเป็นเมืองขึ้นใหม่ ๆ ฝรั่งเศสจึงยื่นคำขาดมายังไทย ให้ยอมยกเขมรส่วนนอกให้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ จำต้องยอมยกเขมรให้ฝรั่งเศส เพื่อเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง (พลสดิศัย สิทธิธัญกิจ, หน้า 374)
จะเห็นได้ว่า ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ พระองค์ได้ทรงใช้รัฐประศาสโนบายการเจรจาทำความตกลงกับชาติมหาอำนาจตะวันตก โดยทรงยอมเสียเอกราชทางศาล และยอมเสียดินแดนบางส่วน เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยของชาติไว้ รวมทั้งได้มีการส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ คือ อังกฤษและฝรั่งเศส
4.สรุป
การประนีประนอม ได้นำพาชาติให้รอดพ้นปากเหยี่ยวปากกา คือ การตกเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อังกฤษและฝรั่งเศส ที่กำลังแข่งกันสร้างอิทธิพลทางด้านการเมืองและการค้าระหว่างประเทศในยุคนั้น
พระมหากษัตริย์ไทยทั้งสองพระองค์ในบทความนี้ คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ ได้ทรงใช้รัฐประศาสโนบายด้วยการเจราจาทำความตกลง ยอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ คือเอกราชหรืออธิปไตยของชาติไว้ และรัฐประศาสโนบายดังกล่าวได้ตกทอดไปถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ รัชกาลที่ 5 ดังจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป
รัฐประศาสโนบายดังกล่าวสอดคล้องกับพระราชดำรัสของในหลวงรัชการที่ 10 ทีว่า “ไทยเป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม”
สำหรับความคิดเห็นเพิ่มเติม กรุณาติดตามได้ในหัวข้อ คุยกับดร.ชา ท้ายบทความนี้
คุยกับดร.ชา
คู่สนทนาของผมในวันนี้ คือ คุณประเสริฐ (ชื่อสมมุติ)
คุณประเสริฐ เป็นลูกศิษย์ปริญญาโท รามคำแหงคนหนึ่งของผม ในช่วงของการเรียนการสอน คุณประเสริฐมีหน้าที่ขับรถรับ-ส่งอาจารย์ จึงทำให้มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นมีอุปนิสัยใจเย็น มีเหตุผล ชอบการพูดคุยกันทำความเข้าใจกัน จึงเหมาะสมที่จะเป็นคู่สนทนาในบทความนี้มาก
“ สวัสดี คุณประเสริฐ อาจารย์หาโอกาสจะเชิญมาเป็นคู่สนทนามานานแล้ว แต่ยังหาบทความที่เหมาะสมไม่ได้ พอดีบทความนี้เป็นเรื่องของการเจรจาทำความตกลงกัน จึงคิดว่า น่าจะเหมาะสมกับคุณประเสริฐมากกว่าบุคคลอื่น ๆ ” ผมทักทายพร้อมกับสาธยายเหตุผลในการเชิญมาเป็นคู่สนทนา
“ ด้วยความยินดีครับ อาจารย์ ขอเชิญอาจารย์เปิดประเด็นเลย ” คุณประเสริฐแสดงความพร้อม
“ ประเด็นแรก อาจารย์อยากทราบความเห็นของคุณประเสริฐว่า ตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้มีพระราชดำรัสว่า ไทยเป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม คุณประเสริฐเข้าใจว่าอย่างไร ” ผมถามกว้าง ๆ
“ ผมเข้าใจว่า ในหลวงท่านคงหมายถึงว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ชอบความสงบสุข แม้จะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ในที่สุดก็จะตกลงกันได้อย่างสันติด้วยการพูดคุยทำความเข้าใจกัน ไม่มีเลือดตกยางออก หรือถ้ามีก็ไม่มากเหมือนประเทศอื่น ๆ ” คุณประเสริฐตอบกว้าง ๆ
“คราวนี้ เราลองมองในแง่ประวัติศาสตร์ในยุคของรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ดูว่า การที่สยามต้องทำตามความต้องการของอังกฤษในรัชสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ และยอมตามความต้องการของฝรั่งเศส คุณประเสริฐคิดว่า เป็นการประนีประนอมหรือเป็นการยอมจำนน ” ผมถามแบบให้ใช้ความคิดบ้าง
“ คำถามนี้ลึกซึ้งนะอาจารย์ ก่อนอื่น เราต้องยอมรับว่า การเจรจากับชาติมหาอำนาจ เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่แล้ว เขาเป็นฝ่ายกำหนดเกมให้เราเล่นตาม ถ้าเราไม่ยอมเล่นตามเกมที่เขาวาง เขาอาจจะหาเรื่องรบกับเขา ซึ่งประเมินสถานการณ์ ณ เวลานั้น โอกาสที่สยามจะรบชนะเขาคงเป็นไปได้ยาก ” คุณประเสริฐตอบแบบคนเข้าใจกลยุทธ์ในการต่อสู้
“อาจารย์อยากให้ขยายความตรงนี้หน่อยว่า หมายความว่าอย่างไร” ผมกระตุ้นให้ตอบเพื่อความชัดเจน
“ เรื่องนี้ คงตอบไม่ยาก คือ พวกชาติมหาอำนาจ ในเวลานั้น เขาเป็นประเทศอุตสาหกรรมแล้ว มีอาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีทันสมัยเหนือกว่าสยามมาก เพราะสยามยังเป็นสังคมเกษตรกรรมแบบโบราณอยู่เลย คงยากที่จะต่อกรได้ ดังจะเห็นได้จากการเขาสามารถเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่สยามได้ ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างกันคนละมุมโลก
หากเราไม่รู้จักประเมินศักยภาพของตนเอง เราก็คงจะเหมือนอย่างประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายที่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติมหาอำนาจ ” คุณประเสริฐตอบขยายความให้ชัดเจนขึ้น
“ ดีมาก คุณประเสริฐ อาจารย์ชอบใจคำตอบนี้มาก วันนี้คงมีเรื่องรบกวนคุณประเสริฐแค่นี้ ขอบคุณมากนะ มีโอกาสเราค่อยคุยกันใหม่ ” ผมกล่าวขอบคุณพร้อมกับยุติการสนทนา
“ ด้วยความยินดีครับอาจารย์ ”
ดร.ชา
25/11/20
ยืดหยุ่น ดีกว่าแตกหักค่ะ
ถูกต้องแล้ว
ความยืดหยุ่นปลอดภัยกว่า แม้ไม่ได้ดังใจทั้งหมด แ่ต่ก็จะไม่สูญเสียมากเหมือนแตกหัก ที่เราอาจจะเพลี่ยงพล้ำเป็นฝ่ายปราชัย
ขอบคุณ คุณประเสริฐที่ได้มาแบ่งปันความรู้ค่ะ