ความหมายของ การคิดนอกกรอบ (Think outside the box)


การคิดนอกกรอบ หมายถึง การคิดบวกออกไปทางด้านข้าง (Lateral Thinking) เพื่อทำให้เกิดความคิดใหม่ ๆ ในการหาทางออกหรือแก้ปัญหา หลังจากเห็นว่า ความคิดในการแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ถึงทางตัน จนไม่อาจจะแก้ปัญหาได้ จึงจำเป็นต้องหาความคิดใหม่ ๆ มาใช้ในการแก้ปัญหา การคิดออกนอกกรอบไปทางด้านข้าง เป็นความคิดที่ไม่มีขอบเขตจำกัด
การคิดออกนอกกรอบ-การคิดในแนวนอน

การคิดในกรอบ คือการคิดในแนวตั้งหรือแนวดิ่ง (Vertical Thinking) คิดจากข้างบนลงข้างล่าง เมื่อข้างบนสั่งการมาหรือพาปฏิบัติอย่างไร ข้างล่างก็ต้องเชื่อฟังหรือปฏิบัติตาม โดยไม่มีข้อแม้
พื้นฐานของการคิดออกนอกกรอบ คือ การคิดบวก ทำให้คนคิดมีอิสระในการใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องคอยเชื่อฟังคำสั่งของใครที่อยู่ข้างบน จึงเป็นการคิดในแนวนอน (Horizontal Thinking)
ตามภาพข้างบน แสดงให้เห็นการคิดออกนอกกรอบของพวกโยคี ที่คิดท่าการบริหารร่างกาย ที่เรียกว่า โยคะ ด้วยการเอาศีรษะปักลงพื้น เท้าทั้งสองชี้ขึ้นฟ้าเพื่อให้โลหิตไหลเวียนไปที่ศีรษะ
ความแตกต่างของการคิดออกด้านข้างหรือการคิดออกนอกกรอบกับการคิดในแนวดิ่ง
ปกติในชีวิตประจำวันของเรา เรามักจะคิดในแนวดิ่ง หรือแนวที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา ตามขนบธรรมเนียมประเพณีหรือตามระเบียบแบบแผน ซึ่งมีขอบเขตจำกัด แต่ถ้าเป็นการแสวงหาแนวทางหรือวิธีการใหม่ ๆ จะต้องคิดออกทางด้านข้าง ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่มีขอบเขตจำกัด สามารถคิดออกไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
พระพุทธเจ้า กับ การคิดออกนอกกรอบ
เมื่อพระพุทธองค์ ยังทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงพิจารณาเห็นว่า การเกิด คือ ความทุกข์ พระองค์จึงทรงตั้งคำถามต่อไปว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดอีก เพื่อจะได้ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป จึงตัดสินพระราชหฤทัยออกบรรพชาโดยทรงยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างที่ทางโลกยกย่อง เพื่อหาคำตอบให้ได้
พระองค์ทรงใช้เวลาถึง 6 ปี ในการศึกษาค้นคว้าทางจิตด้วยพระองค์เอง จึงทรงได้คำตอบ ที่เรียกว่าอริสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
การศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เองเป็นเวลายาวนานถึง 6 ปี ภาษาสมัยปัจจุบันเรียกว่า พระองค์ทรงทำการวิจัยเชิงคุณภาพอย่างเข้มข้นและจริงจังด้วยพระองค์เอง โดยเอาตัวพระองค์เองเป็นตัวทดลอง และไม่มีครูอาจารย์ใด ๆ เป็นผู้คอยชี้แนะ
การคิดนอกกรอบของพระพุทธองค์ เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตะ คือ การคิดจะแสวงหาทาหนทางให้พ้นทุกข์ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
จะเห็นได้ว่า หากพระพุทธองค์ ไม่ทรงมีความคิดออกนอกกรอบ ณ เวลานั้น พระองค์ก็คงได้เสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรคิผู้ยิ่งใหญ่ แต่พระพุทธศาสนาก็ไม่มีทางอุบัติขึ้นในโลกให้เป็นที่พึ่งของพวกเราชาวโลกเหมือนอย่างทุกวันนี้
กาลิโอ (Galileo Galilei : 1564-1642) กับ การคิดออกนอกกรอบ
ตามความเชื่อดั้งเดิมของมนุษย์ เชื่อว่า โลกนี้แบน ทั้งนี้เป็นไปตามคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์
ความเชื่อดังกล่าวได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อกาลิเลโอ ชาวอิตาลี บิดาแห่งวิชาฟิสิคส์สมัยใหม่ สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว โลกกลม ไม่ใช่โลกแบน แต่ตัวเขาก็ต้องถูกคริสจักโรมันคาธอลิกกล่าวหาว่า เขาเป็นนอกรีตหรือนอกศาสนา และกลายเป็นศัตรูของ คริสตจักร
หาก กาลิเลโอ ไม่กล้าคิดออกนอกรอบในยุคสมัยนั้น มนุษย์ในโลก คงไม่กล้าเดินทางไปไกล ไม่กล้าเดินทางรอบโลก เพราะกลัวตกโลกนั่นเอง
จะเห็นได้ว่า มนุษย์ในยุคของเรา ถือว่าการเดินไปเที่ยวรอบโลกเป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว ไม่มีใครกลัวตกโลก มีแต่กลัวตกเครื่องบิน หรือกลัวเรืออับปางในทะเลหรือมหาสมุทรเสียก่อน หรือแม้แต่การเดินทางออกนอกโลกของเราไปสู่โลกอื่นหรือดาวดวงอื่น ในยุคสมัยนี้ ก็ถือเป็นเรื่องค่อนข้างจะธรรมดาเสียแล้ว
แต่ในขณะนี้ มนุษย์กำลังกลัวโรคระบาดจากเมืองอู่ฮั่น คือโรคไวรัสโคโรน่า หรือที่เรียกชื่อเป็นทางการว่า โรคโควิด 19 จึงไม่ค่อยมีใครอยากจะเดินทางไปนอกประเทศเท่าใดนัก ไม่ใช่เป็นเพราะกลัวตกโลกเหมือนสมัยโบราณแต่เป็นเพราะกลัวติดโรคโควิด 19 ต่างหาก
สรุป
ความคิดออกนอกกรอบ คือ ความคิดที่เกิดจากการมองโลกในแง่บวกและคิดออกไปทางด้านข้าง คิดว่า ทุกอย่างมีทางออก ทุกอย่างมีทางแก้ปัญหา เป็นความคิดในการตอบคำถามที่ว่า “นอกจากวิธีมการที่เคยทำมา ยังมีวิธีการอื่น ๆ อีกไหม ที่จะสามารถแก้ปัญหาได้”
นี่แหละคือ ความยิ่งใหญ่ของการคิดออกนอกกรอบ ว่าแต่ท่าน พร้อมที่จะเป็นคนคิดออกนอกกรอบหรือยัง
ดร.ชา
2 มีนาคม 2563
เยี่ยมเลยค่ะอาจารย์
ขอบคุณ คุณบุญญสรณ์มากที่กรุณาให้กำลังด้วยดีเสมอมา