79 / 100

บทความนี้ นับเป็นบทความลำดับที่ 2 ในหมวด เรื่องเล่า ประเทศไทยกับชาติมหาอำนโดยจะกล่าวถึง ความนำ ผลจากสงครามขยายอาณาจักร ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ผลจากการต่อสู้ทางอุดมการณ์และสงครามเย็น ผลจากโลกาภิวัตน์ สรุป และคุยกับดร.ชา

1.ความนำ

                        ในบทความที่แล้ว ผมได้กล่าวถึง สาเหตุทีทำให้ประเทศไทย ต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันของชาติมหาอำนาจตลอดมา นับตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา ผ่านมายุคกรุงรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งยุคปัจจุบัน  โดยมีชาติมหาอำนาจที่ได้แผ่อิทธิพลกดดันประเทศไทยหลายประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษหรือสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น

                        สำหรับบทความนี้ ผมต้องการจะเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ชาติมหาอำนาจแผ่อิทธิพลและส่งแรงกดดันมายังไทย แลนด์หรือประเทศไทยได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่บางประเทศก็อยู่ห่างไกลเราคนละซีกโลก โดยผมขอแบ่งออกเป็นช่วง ๆ ดังนี้

  • ผลจากสงครามขยายอาณาเขต
  • ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม
  • ผลจากการต่อสู้ทางอุดมการณ์และสงครามเย็น
  • ผลจากโลกาภิวิตน์

2.ผลจากสงครามขยายอาณาเขต

          ในยุคโบราณ เป็นยุคสังคมเกษตรกรรม อาณาจักรต่าง ๆ ทั่วโลก ปกครองประเทศด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ ในยุคสมัยนี้ ประชากรของแต่ละประเทศยังมีไม่มาก จึงยังไม่มีปัญหาของการแย่งชิงทรัพยากร

            การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถือว่าพระมหากษัตริย์คือสมมุติเทพ หรือเป็นเทพเจ้าจุติลงมาเกิดเพื่อปกครองหรือปราบยุคเข็ญให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข ในยุคนี้มีความเชื่อว่า หากพระมหากษัตริย์พระองค์ใดมีบุญญาธิการมาก จะต้องแสดงพระบรมเดชานุภาพแผ่พระราชอาณาจักรออกไปให้กว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่จะได้ เช่น

            2.1 จิ๋น ซี ฮ่องเต้

            จักรพรรดิจีนผู้ยิ่งใหญ่ ที่สามารถรวมจีนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้พระองค์แรก และเป็นผู้สร้างกำแพงยักษ์เมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

            2.2 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช

            จักรพรรดิกรีกโบราณผู้ยิ่งใหญ่ สามารถขยายอาณาเขตได้กว้างใหญ่ไพศาลมาถึงอินเดีย

            2.3 พระจ้าอโศกมหาราช

            จักรพรรดิอินเดียโบราณผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถขยายอาณาเขตอินเดียได้กว้างใหญ่ไพศาล และที่สำคัญคือทรงเป็นผู้ประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วทุกสารทิศ รวมทั้งดินแดนสุวรรณภูมิ                                                                                                             

            สำหรับไทย แลนด์หรือประเทศไทยเราเคยตกเป็นประเทศราชของพม่าจำนวน 2 ครั้ง กล่าวคือ

            การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม  2112    ในยุคสมัยของพระเจ้าบุเรงนองมหาราช กษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งกรุงหงสาวดี และสมเด็จพระมหินทราธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งอีก 15 ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงประกาศเอกราช ณ เมืองแครง เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2127 ไม่ขึ้นต่อกรุงหงสาวดีอีกต่อไป    

           การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310  ในยุคสมัยพระเจ้ามังระแห่งกรุงอังวะ และพระเจ้าเอกทัศน์แห่งกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงสามารถกอบกู้เอกราชคืนให้ไทยได้สำเร็จ ภายในระยะเวลาเพียง 7 เดือนเท่านั้น

3.ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม

          โลกของเราได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากที่ได้มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม(Industrial Revolution) ทำให้การผลิตสินค้าเปลี่ยนการผลิตด้วยมือเป็นการผลิตด้วยเครื่องจักร ทำให้การผลิตแค่พอกินพอใช้หรือแค่พอขายในชุมชนท้องถิ่น เปลี่ยนการผลิตเป็นสินค้าเพื่อจำหน่ายแก่คนทั้งเมือง ทั้งประเทศ และทั้งโลก (mass production)

            การปฏิวัติอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 (First Industrial Revolution) ราวปีค.ศ.1760-1820 และการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ราวปี ค.ศ.1870-1914 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 1

            การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกเกิดขึ้นที่บริเตนใหญ่ (Great Britain) ราว ปีค.ศ.1760-1820 หรือ 1840 โดยได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตสินค้าจากมือไปสู่เครื่องจักร (machines) มีการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมทางเคมี(new chemical manufacturing) การผลิตเหล็ก(iron production) การใช้พลังงานไอ้น้ำและพลังน้ำ (steam power& water power) มีการพัฒนาการใช้เครื่องมือที่เป็นเครื่องจักร (machine tools) และการสร้างระบบโรงงานอุตสาหกรรม (mechanized factory system)  ยิ่งกว่านั้น ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้นำไปสู่การเกิดของประชากรในอัตราสูงมากอย่างไม่คาดฝัน รวมทั้งขนาดจีดีพีของประเทศก็โตมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

            หลังจากได้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในบริเตนใหญ่แล้ว การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้กระจายไปยังประเทศยุโรปตะวันตกอื่น ๆ อีก รวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา

(Wikipedia, Industrial Revolution, 28th October 2020)

            ด้วยผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมดังกล่าว ทำให้ประเทศยุโรปตะวันตก จำเป็นต้องแสวงหาดินแดนเพิ่มเพื่อใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบมาป้อนโรงงานอุตสาหกรรม และในขณะเดียวกันก็เพื่อใช้เป็นตลาดรองรับสินค้าจากโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศที่ผลิตได้จนล้นตลาดภายในประเทศ นี่คือที่มาของลัทธิล่าอาณานิคม

            ลัทธิล่าอาณานิคม หมายถึงการที่ประเทศอุตสาหกรรมในยุโรปตะวันตก ได้เข้ายึดครองประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นประเทศในเอเชีย อาฟริกา หรือดินแดนอื่นใดที่ยังด้อยพัฒนาอยู่ จึงทำให้หลายประเทศในโลกนี้ต้องเสียเอกราช ตกเป็นอาณานิคมของประเทศยุโรปตะวันตกที่ได้เจริญก้าวหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรมแล้ว

            ในทวีปเอเชีย มีเพียงไม่กีประเทศที่เอาตัวรอดจากการตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกได้ ในจำนวนนี้มี ไทย แลนด์หรือประเทศไทยอยู่ด้วยประเทศหนึ่ง ทั้งนี้ก็ด้วยพระปรีชาสามารถของบูรพมหากษัตริย์ไทย

            ลัทธิล่าอาณานิคม เกิดขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 18 จนถึงกลางศตวรรษที่ 20

4.ผลของการต่อสู้ทางอุดมการณ์และสงครามเย็น

          สืบเนื่องมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมดังล่าว ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองของสองลัทธิอย่างรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง คือ ลัทธิประชาธิปไตย และลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์

            4.1 ลัทธิประชาธิปไตย (Democracy)

            ลัทธิประชาธิปไตย คู่กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capitalism) หมายความว่า บรรดาประเทศยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกามีรูปแบบการปกครองประเทศเป็นระบอบประชาธิปไตย ส่วนระบบเศรษฐกิจเป็นแบบทุนนิยม

            ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประเทศเหล่านี้สามารถใช้ระบบทุนนิยมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างมาก แต่มีจุดอ่อนเรื่องการกระจายรายได้ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเป็นอย่างมากเช่นกัน

            4.2 ลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (Communist Socialism)

            ลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เห็นว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองของพวกนายทุนที่คอยเอารัดเอาเปรียบชนชั้นกรรมาชีพ ทำให้ชนชั้นกรรมาชีพอดทนไม่ได้จะลุกฮือขึ้นมาทำการปฏิวัติล้มล้างพวกนายทุนให้หมดไป แล้วสร้างรัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมาแทน

            จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้เลนิน (Lenin)ได้ตั้งพรรคบอลเชวิก หรือพรรคของชั้นกรรมาชีพรัสเซีย โค่นล้มการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยุคพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 แล้วสถาปนาการปกครองในระบอบสังคมนิคมคอมนิวนิสต์ขึ้นมาเป็นประเทศแรกในโลก เมื่อปี ค.ศ.1917

            หลังจากนั้น  ได้เกิดแรงบันดาลใจให้แก่ ดร.ซุน ยัต เซน และพวก ต้องการล้มล้างการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุคพระนางทูสีไทเฮา เป็นการปกครองในระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยในทำนองเดียวกันกับประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1912 แต่การบริหารประเทศไม่ประสพผลสำเร็จ และในเวลาอีก 37 ปีต่อมา จึงถูกเหมาเจ๋อตุงและพวกทำการปฏิวัติอีกครั้งหนึ่ง เปลี่ยนจากการปกครองแบบสาธารณัฐประชาธิปไตยไปเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เมื่อปีค.ศ.1949 ตราบเท่าทุกวันนี้

            ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง ได้เกิดการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่าง 2 ค่าย กลายเป็นสงครามเย็น เป็นระยะเวลายาวนาน 44 ปี (1947-1991) คือ     

ค่ายโลกเสรี นำโดยสหรัฐอเมริกา และยุโรปตะวันตก ยึดถืออุดมการณ์ประชาธิปไตยและเศรษฐกิจแบบทุนนิยม

ค่ายโลกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ นำโดยอดีตสหภาพโซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์ ยึดถืออุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ

ทั้งสองค่ายได้ต่อสู้กันในทุกรูปแบบเพื่อให้ฝ่ายตนเป็นผู้ชนะ และแต่ละฝ่ายก็พยายามหาประเทศอื่น ๆ ให้เข้ามาเป็นพวกของตน โดยการต่อสู้กันในช่วงนี้ มีการสู้รบเพื่ออุดมการณ์ของแต่ละฝ่ายหลายครั้ง แต่เป็นการสู้รบที่ไม่มีการประกาสงคราม เป็นสงครามที่เรียกว่า สงครามตัวแทน (Proxy War)  อย่างเช่น

สงครามเวียดนาม 20 ปี ระหว่างพ.ศ.2498-2518  (1955-1975)

                                                                                                                                 เป็นการสู้รบระหว่างเวียดนามใต้ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันตกและพันธมิตร รวมทั้งไทย แลนด์หรือประเทศไทยด้วย และอีกฝ่ายหนึ่งคือเวียดนามเหนือที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและจีนคอมมวนิสต์ ในที่สุดฝ่ายเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะ และสามารถรวมเป็นประเทศเดียวกันสำเร็จในชื่อ ประเทศเวียดนาม จนกระทั่งทุกวันนี้

5.ผลจากโลกยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization)

            หลังจากสงครามเย็นได้ยุติลงด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเมื่อปี ค.ศ.1991 โลกที่เคยแบ่งออกเป็น 2 ค่าย และได้ต่อสู้ขับเคี่ยวกันมาตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยชัยชนะของค่ายเสรีประชาธิปไตยและทุนนิยม ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวขึ้นเป็นประเทศอภิมหาอำนาจเดี่ยว นับแต่ปีค.ศ.1991 เป็นต้นมา

            ยุคโลกาภิวัตน์เป็นยุคของเทคโนโลยี เป็นยุคของสื่อ เป็นยุคของโลกไร้พรหมแดน (Borderless World)เป็นยุคของเครือข่าย ดังมีคำกล่าวว่า ยุคนี้ หากใครครองสื่อได้ ผู้นั้นครองโลก และเป็นยุคที่ถือว่า ทั้งโลกคือหนึ่งเดียว

โลกยุคโลกาภิวัตน์ ดูเหมือนโลกแบน เพราะสามารถติดต่อกันได้อย่างง่ายดายราวกับอยู่ประเทศเดียวกัน
โลกยุคโลกาภิวัตน์ ดูเหมือนโลกแบน เพราะสามารถติดต่อกันได้อย่างง่ายดายราวกับอยู่ประเทศเดียวกัน

             แต่ในขณะเดียวกันประเทศจีนคอมมิวนิสต์ที่เคยเป็นประเทศที่ยากจนและล้าหลัง  เมื่อได้ยอมรับเอาระบบทุนนิยมมาใช้ในการพัฒนาประเทศนับตั้งแต่ยุคของเติ้งเสี่ยวผิง เป็นต้นมา ได้ทำให้เศรษฐกิจของจีนได้เจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องมาจนกระทั่งทุกวันนี้ จนทำให้จีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกแซงหน้าญี่ปุ่นที่เคยครองตำแหน่งนี้มาเป็นเวลายาวนาน

            แม้การเมืองการปกครองของประเทศจีนจะยังเป็นระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อยอมรับเอาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาใช้ ประกอบกับการเมืองของประเทศมีเสถียรภาพ และมีประชากรมากที่สุดในโลก คือ มากกว่า 1,400 ล้านคน ทำให้จีนพร้อมที่จะท้าทายอำนาจของสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วงชิงขึ้นเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกให้ได้

6.สรุป

          บทความนี้ต้องการชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นว่า ไทย แลนด์หรือประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศขนาดกลาง ตั้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน ได้รับแรงกดดันจากชาติมหาอำนาจอย่างไรบ้าง โดยแบ่งออกเป็น 3 ยุคใหญ่ ๆ คือ ยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมและล่าอาณานิคม ยุคการต่อสู้ทางอุดมการณ์และยุคสงครามเย็น และยุคปัจจุบันคือยุคโลกาภวิวัตน์

            สำหรับความคิดเห็นเพิ่มเติม โปรดติดตามได้ในหัวข้อ คุยกับดร.ชา ท้ายบทความนี้

คุยกับดร.ชา

          คู่สนทนาของผมวันนี้ คงไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับ คุณเนรมิต(ชื่อสมมุติ) เพื่อนของผมผู้เคยเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนปริญญาตรี-โท ที่อเมริกาเป็นเวลาหลายปี

คุณเนรมิต เป็นคนง่าย ๆ อยู่ในชุดตามสบาย
คุณเนรมิต เป็นคนง่าย ๆ อยู่ในชุดตามสบาย

            “ สวัสดีครับ คุณเนรมิต วันนี้ผมมีเรื่องขอรบกวนเวลาท่าน เพื่อสนทนากันในเรื่องของการแย่งชิงความเป็นหนึ่งเดียวของโลก ในยุคปัจจุบันซี่งเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ท่านคิดว่าประเทศใดน่าจะเป็นฝ่ายชนะ ระหว่างอเมริกา กับ จีน” ผมรีบถามเข้าประเด็นทันที เพราะมีเวลาน้อย

          “ สวัสดีครับ ดร.ชา ผมคิดว่า ได้เปรียบเสียเปรียบกันคนละอย่าง

            ผมขอพูดถึงอเมริกาก่อน เพราะผมเคยไปอยู่มาหลายปี พอจะมองเห็นภาพได้ชัดเจน คือ อเมริกาเขาเป็นประเทศที่เกิดใหม่ มีอายุแค่ 244 ปี เจริญเติบโตเร็ว มีดินแดนกว้างใหญ่ ขนาดพอ ๆ กับจีน ถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญทางทางเทคโนโลยี สูงที่สุด ประชากรก็ไม่น้อย มีราว 330 ล้านคน  แต่การเป็นประเทศประชาธิปไตยนี่มีข้อจำกัดคือ ประชาชน ดังนั้นหากประชาชนไม่เอาด้วย รัฐบาลอเมริกา ก็ย่อมจะไม่สามารถดำเนินการได้ตามใจตัวเอง

ส่วนจีน เป็นประเทศเก่าแก่มีอายุมากกว่า 5,000 ปี มีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน ในด้านเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมาจากสหรัฐอเมริกา ด้านเทคโนโลยี แม้โดยภาพรวมอาจจะยังไม่เจริญเท่าอเมริกา แต่ทุกวันนี้จีนเขาก็พัฒนาไปมากแล้ว และที่สำคัญคือ เขาปกครองด้วยระบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ มีพรรคการเมืองพรรคเดียว มีเสถียรภาพทางการเมือง หากรัฐบาลจีนอยากจะทำอะไร ก็ทำได้โดยประชาชนจะไม่เป็นอุปสรรค เป็นเรื่องของรัฐและรัฐบาลทำได้เลย ผู้นำพรรคคอมมิวนิวนิสต์จีน คือผู้นำประเทศ สามารถดำรงตำแหน่งไปได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะตายหรือลาออกนั่นแหละ อย่างประธานาธิบดีจีน คนปัจจุบัน สี จิ้นผิง คงจะดำรงตำแหน่งนี้ได้อีกหลายปี      

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีอเมริกาคนปัจจุบัน คือ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ทราบว่า จะได้รับเลือกตั้งอีกสมัยหนึ่งไหม  ” คุณเนรมิตตอบกว้าง ๆ

             “ แสดงว่า คุณเนรมิตมองเห็นว่า ทางด้านการเมือง จีนน่าจะได้เปรียบ เพราะเขาไม่ต้องเปลี่ยนผู้นำประเทศบ่อยเหมือนอเมริกา จึงทำให้การดำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์ในระยะยาว มีโอกาสประสบผลสำเร็จใช่ไหม ” ผมถามเพื่อให้คุณเนรมิตยืนยัน

            “ ใช่แล้ว ดร.ชา แต่ถ้ามองด้านการทหาร อเมริกาน่าจะได้เปรียบ โดยเฉพาะด้านกองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองทัพอวกาศ เพราะได้พัฒนามายาวนานกว่าจีน ” คุณเนรมิตตอบอย่างมั่นใจ เพราะเคยอยู่อเมริกามาหลายปี

            “อีกคำถามหนึ่ง การสู้รบกัน ต้องใช้เงินใช้ทองเยอะมาก หากประเทศใดไม่พร้อม เขาคงไม่พยายามก่อสงครามขนาดใหญ่ขึ้นมา ท่านคิดว่า เวลานี้ ด้านเศรษฐกิจ จีนหรืออเมริกา ใครน่าจะแข็งแกร่งกว่ากัน ” ผมถามเพื่อหาคำตอบในเชิงสรุป

            “ ผมคิดว่า ด้านเศรษฐกิจ ณ เวลานี้ จีนน่าจะแข็งแกร่งกว่ามาก เพราะจีนเขามีเงินสดในมือเหลือมากกว่า แม้แต่อเมริกา ก็เป็นลูกหนี้รายใหญ่ของจีน ” คุณเนรมิตตอบอย่างใช้ความคิดเล็กน้อย

            “ขอบคุณมากนะ คุณเนรมิต วันนี้เราคุยกันพอหอมปากหอมคอ เอาไว้โอกาสต่อไปค่อยคุยกันใหม่ ดีไหม ” ผมกล่าวขอบคุณพร้อมยุติการสนทนา

            “ ด้วยความยินดีครับ ดร.ชา ”

ดร.ชา

28/10/20

Dr.Char

Mr.Chartri DireksriMr.Chartri Direksriดร.ชาตรี ดิเรกศรี (Dr.Chartri Direksri) เคยรับราชการเป็นนักปกครองในตำแหน่งปลัดอำเภอตรี เมื่อปีพ.ศ.2517 ผ่านการดำรงตำแหน่งนายอำเภอหลายอำเภอ เป็นปลัดจังหวัด และเกษียณอายุราชการในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อปีพ.ศ.2554 นอกจากนี้ยังเคยเป็นอาจารย์ผู้บรรยายพิเศษ หลักสูตรปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นเวลา 9 ปี

RELATED ARTICLES

หมอ พยายาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาคนติดเชื้อโรคโควิด-19

การบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉินกรณีโรคโควิด-19: ความรุนแรงของสถานการณ์ และแนวคิดในการแก้ปัญหา(1)

Share on Social Media facebook email 68 / 100 Powered by Rank Math SEO การมองการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉินกรณรีโรคโควิด-19 ด้วยประสบการณ์การบริหารเพื่อแก้ปัญหาโรคไข้หวัดนก ปีพ.ศ.2547  (1) อาจมองได้หลายมิติ ในตอนแรกนี้ จะขอกล่าวถึงมิติด้านความรุนแรงของสถานการณ์ และแนวคิดในการแก้ปัญหา 1.ความรุนแรงของสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาด อาจมองความรุนแรงของสถานการณ์โรควิด-19 ได้เป็น 2 ระดับโลก และความรุนแรงของสถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทย             1.1ความรุนแรงของสถานการณ์โรคโควิด-19 ระดับโลก           ความรุนแรงของสถานการณ์โรคโควิด-19 (Covid-19) หรือโรคไวรัสโคโรนา (Virus Corona) ถือได้ว่า เป็นโรคระบาดจากคนไปสู่คนและแพร่กระจายไปทั่วโลก โดยเริ่มต้นจากประเทศจีนไปสู่อีกหลายประเทศอย่างรวดเร็วทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา มียอดผู้ติดเชื้อ…

พระพุทธเจ้า มีคาถารักษาโรคเรื้อรังได้หรือไม่ (16)(New***) 2

พระพุทธเจ้า มีคาถารักษาโรคเรื้อรังได้หรือไม่ (16)(New***)

Share on Social Media facebook email 90 / 100 Powered by Rank Math SEO “พระพุทธเจ้า มีคาถารักษาโรคเรื้อรังได้หรือไม่” นับเป็นบทความลำดับที่ 16 ของหมวด 7 เรื่องเล่า ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม เพื่อคลายทุกข์ มีเนื้อหาประกอบด้วย ความนำ  พระพุทธเจ้ามีหลักคำสอนว่าอย่างไร   ประเภทของโรค โรคเรื้อรัง โรคเรื้อรังที่น่าสนใจ แนวทางในการรักษาโรคเรื้อรัง คาถารักษาโรคทุกโรคของพระพุทธเจ้า ทำไมจึงควรนำคาถานี้ไปใช้ในการรักษาโรคเรื้อรัง ประสบการณ์ในการนำคาถานี้มาใช้ ขั้นตอนและแนวทางในการนำคาถานี้ไปใช้ การบริกรรมคาถา การอธิษฐานจิต การสั่งจิตใต้สำนึก การสร้างมโนภาพ  ตัวอย่างการอธิษฐานจิตรวมทุกโรค ตัวอย่างการอธิษฐานจิตเฉพาะโรค สรุป ถาม-ตอบสนุก กับดร.ชา 369          …

ไต้หวัน มีความเจริญมากน้อยเพียงใด (12) 4

ไต้หวัน มีความเจริญมากน้อยเพียงใด (12)

Share on Social Media facebook email 87 / 100 Powered by Rank Math SEO “ไต้หวัน มีความเจริญมากน้อยเพียงใด” เป็นบทความลำดับที่ 12 ของหมวด 14 เรื่องเล่า ประเทศเอเชียตะวันออก มีหัวข้อ ดังนี้ ความนำ  ประวัติความเป็นมาของไต้หวันโดยย่อ ตำแหน่งที่ตั้งและขนาดพื้นที่ ประชากร (จำนวน เชื้อชาติ และศาสนา) การปกครอง เมืองหลวง ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ  ตัวชี้วัดความเจริญทางเศรษฐกิจ ตัวชี้วัดความเจริญในด้านอื่น ๆ   สรุป ถาม-ตอบสนุก กับดร.ชา 36           “ไต้หวันหรือจีนไทเป เป็นประเทศที่ได้ชื่อว่า เป็นเสือตัวหนึ่งในบรรดาสี่ตัวของเอเชีย…

เกาหลีเหนือ เป็นประเทศเผด็จการสมบูรณ์แบบ (11) 5

เกาหลีเหนือ เป็นประเทศเผด็จการสมบูรณ์แบบ (11)

Share on Social Media facebook email 87 / 100 Powered by Rank Math SEO “เกาหลีเหนือ เป็นประเทศเผด็จการสมบูรณ์แบบ” เป็นบทความลำดับที่ 11 ของหมวด 14 เรื่องเล่า ประเทศเอเชียตะวันออก  มีหัวข้อประกอบด้วย ความนำ ตำแหน่งที่ตั้งของเกาหลีเหนือ  ขนาดพื้นที่ ประชากร ประวัติความเป็นมา การเมืองการปกครอง  อุดมการณ์ของชาติ ตระกูลคิม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ สิทธิมนุษยชน การทหาร สรุป ถาม-ตอบสนุก กับดร.ชา 369 “ประเทศเกาหลีเหนือ แม้เป็นประเทศขนาดเล็ก มีประชากรไม่มาก และมีฐานะยากจน แต่ก็สามารถเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ และมีความแข็งแกร่งด้านการทหาร…

6 COMMENTS

  1. อ่านเข้าใจง่ายเห็นภาพชัดเจนครับ ขอบคุณครับ

  2. ขอบคุณ คุณเนรมิตรที่มาให้ความรู้ เป็นครั้งที่สามค่ะ อยากฟังนักเรียนนอกเล่าให้ฟังค่ะ
    ถ้าประเทศไหนเปลี่ยนผู้นำบ่อย ยุทธศาสตร์การพัฒนาต้องเปลี่ยนตามผู้นำ ทำไมผู้นำประเทศไม่มาสานต่อนโยบายของผู้นำคนเดิมคะ ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ

    1. การเปลี่ยนผู้นำแต่ละครั้ง จะมีผลต่อนโยบายในการบริหารประเทศไม่มากก็น้อย เพราะผู้นำแต่ละคนย่อมมีความคิดและความต้องการแตกต่างกันไป
      โดยเฉพาะอย่างย่ิ่ง ผู้นำต้องปฏิบัติตามนโยบายของพรรคการเมืองที่ตนสังกัด หากผู้นำคนใดมีโอกาสดำรงตำแหน่งอย่างต่อเนืองได้ยาวนาน โอกาสที่จะบริหารประเทศ
      ให้บรรลุเป้าหมายย่อมมีมาก

  3. อเมริกาได้เปรียบจีน ที่มีความสามารถด้านเทคโนโลนี และการทหารที่เหนือกว่า แต่จีนมีรัฐบาลที่เสถียรภาพกว่า สามารถดำเนินตามนโบายได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง เพราะมีการพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว สามารถทำงานต่อเนื่องได้ ผมคิดว่าต่อไปจีนจะต้องเจริญรุ่งเรืองกว่าอเมริกา อย่างแน่แท้ครับ

    1. คงจะสรุปอะไรยังไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนรัสเซียหรืออดีตสหภาพโซเวียตก็เคยเป็นคอมมิวนิสต์ แตุ่ทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกาและยุโรปแล้ว ทุกอย่าง อนิจจัง ไม่เที่ยงแท้

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Share on Social Media
%d bloggers like this: