ในบทความ (1) ผมได้กล่าวถึงแนวคิดในการเขีบนบทความว่า จะเขียนด้วยแนวคิดด้านบวก สำหรับบทความ (2) นี้ จะกล่าวถึง การคิดบวก การมองโลกของคนเรา อาจแบ่งออกได้เป็น ๓ แนวทางใหญ่ ๆ คือ การมองโลกในแง่ลบ การมองโลกในแง่ไม่ยินดียินร้าย และการมองโลกในแง่บวก
Table of Contents
การมองโลกในแง่ลบ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเคยนั่งรถไปกับเพื่อนคนหนึ่ง ตลอดระยะเวลาทีเรานั่งรถไปด้วยกันราว ๑ ชั่วโมง เขาเต็มไปด้วยอารมณ์เสีย มีแต่ติเตียนเรื่องนี้ เรื่องนั้น ติเตียนคนนี้ คนนั้น แม้แต่พอมองเห็นคนขับรถบนท้องถนนบางคน ที่ขับรถไม่ถูกใจเขา เขาก็ตำหนิติเตียน ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้้จักกันเลย จนทำให้ผมรู้สึกว่า ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายเสียจริง ที่ต้องได้ยินได้ฟังเรื่องอย่างนี้ตลอดระยะเวลาของการเดินทาง
คนพวกนี้มักจะมองโลกในแง่เลวร้าย มองอะไรในโลกนี้ล้วนเลวร้ายไปหมด ภายในใจจึงมักจะเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง อคติ มีแต่ความอิจฉา ริษยา จิตใจไม่มีความสุข ชอบพูดถึงคนอื่นในแง่ร้ายตลอดเวลา
ผมเชื่อว่า หากท่านอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผม ก็คงจะรู้สึกในทำนองเดียวกับผม แต่ก็ไม่แน่นะ หากท่านเป็นคนประเภทเดียวกัน ท่านอาจจะรู้สึกสนุกกับเขาด้วยก็ได้ จริงไหม
คนพวกนี้มักจะมองว่า โลกนี้ช่างเลวร้ายเสียจริง มีแต่ปัญหาอุปสรรค มีแต่คนเหนแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบกัน ได้ยินได้ฟังอะไร แม้แต่เพียงเล็กน้อย ก็หยิบมาเป็นประเด็นพูดคุยในเชิงติเตียนด้วยอคติได้หมด
ที่สำคัญคือ ชอบการนินทาว่าร้ายคนอื่น มองเห็นข้อเสียหรือข้อบกพร่องของคนอื่น แต่มองข้อบกพร่องของตัวเองไม่เห็น
คนพวกนี้ หาได้ไม่ยากหรอก มีให้เราได้พบเห็นอยู่ทั่วไป
การมองโลกแบบไม่ยินดียินร้าย
คนพวกนี้มักจะมองโลกด้วยความรู้สึกเฉย ๆ ไม่ยินดียินร้ายในเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ค่อยชอบพูดถึงคนอื่นไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย ถือว่าไม่ใช่เรืองของตน ทำให้คนพวกนี้ เป็นคนที่มีใจสงบนิ่ง ไม่ค่อยมีความทุกข์ เพราะไม่พยายามเอาเรื่องทุกข์นอกตัวมาใส่สมอง สนใจแต่เรื่องตัวเอง
แต่คนพวกนี้ค่อนข้างจะหายากหน่อย ส่วนมากมักจะเป็นผู้ที่สนใจในการปฏิบัติธรรม มุ่งไปสู่การดับทุกข์เป็นที่ตั้ง
หากท่านเป็นคนที่ชอบมองโลกแบบไม่ยินดียินร้าย โอกาสที่ท่านจะพ้นทุกข์ก่อนคนอื่นก็มีมากนะ
การมองโลกในแง่บวก หรือในแง่ดี


หากท่านอยากมีความสุข ต้องหัดมองโลกในแง่ดีหรือในแง่บวก เพราะการมองโลกในแง่บวกจนเป็นนิสัย จะทำให้ท่านมองเห็นปัญหาแตกต่างไปจาคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย
คนมองโลกในแง่ร้าย มักจะมองโลกว่า ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นยากที่จะแก้ไขด้วยแนวทางสันติได้ หากจะแก้ไข ก็ต้องแก้ไขด้วยการทำลายล้าง เอาให้แตกหักไปเลย ไม่มีความคิดในเรื่องของการประนีประนอม
ในทางตรงกันกันข้าม คนที่มองโลกในแง่บวก มักจะมองว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้โดยสันติวิธี ไม่ต้องใช้ความรุนแรงในการทำลายล้างกันให้แตกหักหรือล้มตายเสมอไป
การมองโลกในแง่บวก จะทำให้ผู้มองโลกแบบนี้ เป็นคนที่มีความสุข จิตใจเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา มีความกรุณาปราณีต่อเพื่อมนุษย์ ตลอดจนสรรพสัตว์ ชอบมองคนอื่นในแง่ดี ไม่ชอบการนินทาว่าร้ายใคร
การแผ่เมตตา คือการคิดบวกอย่างหนึ่ง
เวลาพวกเราไปวัด ฟังธรรม สวดมนต์ภาวนา จะเห็นได้ว่า หลังจากสวดมนต์ภาวนาเสร็จ พระจะพาพวกเราแผ่เมตตาให้ตนเอง และแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่่เสมอ
การแผ่เมตตาให้ตัวเอง และสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่่บ่อย ๆ เพื่อให้ตนเองและสรรพสัตว์ทั้งหลายให้มีความสุข ปราศจากทุกข ปราศจากโศก ปราศจากเวรและกรรมซึ่งกันและกัน เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งในการฝึกตนเองให้เป็นคนมองโลกในเง่บวก ซึ่งพวกเราคงจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ กันว่า ในขณะที่แผ่เมตตา จิตใจของพวกเรามีความสงบและความสุขมากทีเดียว
ความสงบสุขนี้เกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้เงินซื้อ เพียงแต่ใช้จิตหรือใจของเราให้คิดไปในทางบวกหรือทางที่เป็นกุศล
ความสุขและความสนุก
เมื่อเรามีคววามรู้สึกเป็นสุขอันเกิดจากการมองโลกในแง่บวก เราก็จะมีความรู้สคกเพลิดเพลิน สบายจิตสบายใจ ไม่มีความเครียด ไม่มีความกังวลใด ๆ และถ้าเราจะคิดหรือทำอะไร เราก็จะมีแต่ความสนุก เพลิดเพลิน ไม่เบื่อหน่าย ทำด้วยความเต็มอกเต็มใจ
ดูอย่างพวกจิตอาสาตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ น่าจะเป็นคนมองโลกในแง่ดี หรือชอบคิดบวกนั่นเอง ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงไม่ยอมสละเวลามาช่วยเหลือสังคม หรือคนอื่นหรอก ขอให้สังเกตสีหน้าแต่ละคนที่สมัครใจทำงานเพื่อส่วนรวมในฐานะจิตอาสา พวกเขาจะมีสีหน้ายยิ้มแย้ม มีความสุข และสนุกในการทำงาน
ดร.ชา
2 มีนาคม 2563
เยี่ยมครับอาจารย์
ขอบคุณ คุณditrung มากที่กรุณาให้กำลังใจ