1.ความนำ
“ผู้ชนะ เลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา อยู่ในกำมือของคนเพียง 538 คนเท่านั้น” เป็นบทความลำดับที่ 10 ของหมวด 8 เรื่องเล่า รัฐธรรมนูญอเมริกา
ในบทความที่แล้ว (9) ได้กล่าวถึง การเลือกตั้ง ประธานาธิบดีอเมริกา ทำไมจึงดูสลับซับซ้อนมาก โดยได้ชี้ให้เห็นว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา ดูสลับซับซ้อนมาก ก็เพราะไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรงแต่เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมตามที่รัฐธรรมนูญอเมริกาได้กำหนดไว้ กล่าวคือ ให้สภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในเลือกผู้เลือกตั้ง (Elector) ประธานาธิบดีตามจำนวนสมาชิกสภาคองเกรสที่พึงมีของแต่ละมลรัฐ
หลังจากนั้น ผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีของแต่ละมลรัฐจึงจะเป็นผู้ใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีในนามของแต่ละมลรัฐอีกครั้งหนึ่ง เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 2020 ได้มีการลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 และวันที่ 14 ธันวาคม 2020 จะเป็นวันที่ผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีไปใช้สิทธิเลือกตั้งอีกชั้นหนึ่ง
ดังนั้น บทความนี้ จึงต้องการเล่าขยายความให้ท่านผู้อ่านทราบขัดเจนเกี่ยวกับความสำคัญของคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา จำนวน 538 คนในการตัดสินว่า ใครคือผู้ชนะในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี
2.ที่มาของคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี (Electoral College)เมื่อเริ่มแรก
เดิมรัฐธรรมนูญอเมริกากำหนดให้สภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐเป็นผู้มีอำนาจเลือกคณะผู้เลือกตั้งของมลรัฐ ตามจำนวนสมาชิกสภาคองเกรสของแต่ละมลรัฐ หมายความว่า มลรัฐมีจำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎรมาก ก็จะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีมาก เพราะจำนวนวุฒิสมาชิก ทุกมลรัฐมีจำนวนเท่ากัน คือ มลรัฐละ 2 คน ดังนั้น หากมลรัฐใดมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงหนึ่งคน ก็จะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งของมลรัฐ จำนวน 3 คน
3.ที่มาของคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาในปัจจุบัน
เนื่องจากรัฐธรรมนูญอเมริกามาตรา 2 อนุมาตรา 1 วรรคสอง กำหนดไว้แต่เพียงว่า ให้สภานิติบัญญัติของแต่ละมลรัฐ เป็นผู้มีอำนาจเลือกผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาของแต่ละมลรัฐ ส่วนวิธีการเลือกจะทำอย่างไร ปล่อยให้เป็นดุลพินิจของแต่ละมลรัฐ
แต่ภายหลังสงครามกลางเมือง (Civil War) ระหว่างปี ค.ศ. 1861-1865 ทุกมลรัฐได้เปลี่ยนแปลงวิธีการเลือกผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีจากการแต่งตั้งโดยสภานิติบัญญัติของมลรัฐ ให้เป็นวิธีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน (popular vote) กล่าวคือ ในวันเลือกตั้งทั่วไป จะมีรายชื่อผู้สมัครเป็นผู้เลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอเมริกาติดประกาศไว้ ณ ที่เลือกตั้งว่า ทีมผู้เลือกตั้ง ฯ ใดจะสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดีคนใด
หากผลการรวมคะแนนปรากฏว่า ผู้สมัครประธานาธิบดีคนใดได้คะแนนเลือกตั้งจากประชาชนมากที่สุดในแต่ละมลรัฐ ทีมผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีตามรายชื่อที่ได้ปิดประกาศไว้ ณ ที่เลือกตั้ง ก็จะได้เป็นทีมผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาแบบยกทีม
ตัวอย่าง
มลรัฐ ก. มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 50 คน หากผลการลงคะแนนในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ปรากฏว่า ประชาชนส่วนใหญ่เลือกผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน (โดนัลด์ ทรัมป์) จะทำให้ผู้เลือกตั้ง ฯ ที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน จำนวน 50 คนทั้งทีม ได้เป็นตัวแทนประชาชนมลรัฐ ก. ไปลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาในวันที่ 14 ธันวาคม 2563
มีข้อยกเว้นจำนวน 2 มลรัฐ
ในจำนวนมลรัฐทั้งหมด 50 มลรัฐ รวมทั้งกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ให้ประชาชนเลือกทีมผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาดังได้กล่าวมาข้างต้น แต่มีอยู่มลรัฐจำนวน 2 มลรัฐ ที่ได้ใช้วิธีการที่แตกต่างออกไป คือ มลรัฐเมน(Maine) และมลรัฐเนบราสกา (Nebraska) โดยแบ่งการเลือกผู้เลือกตั้ง ฯ ออกเป็น 2 วิธี คือเลือกตามเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนหนึ่ง และเลือกตามเขตเลือกตั้งวุฒิสภาอีกส่วนหนึ่ง
มลรัฐเมนได้ใช้วิธีการนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1972 และมลรัฐเนบราสกา ได้ใช้วิธีการดังกล่าวมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1999
(Wikipedia, United States Electoral College)
3.จำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ แยกตามมลรัฐ
ตามรัฐธรรมนูญอเมริกา มาตรา 2 อนุมาตรา 1 วรรคสอง จำนวนผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาของแต่ละมลรัฐ มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และจำนวนสมาชิกวุฒิสภาของแต่ละมลรัฐรวมกัน แสดงว่ามลรัฐที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรน้อยที่สุด คือ จำนวน 1 คน จะมีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ จำนวน 3 คน เพราะทุกมลรัฐมีจำนวนวุฒิสมาชิกได้ 2 คนเท่านั้น
ดังนั้น มลรัฐใดเป็นมลรัฐใหญ่ มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาก ก็จะมีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ มาก เป็นเงาตามตัว
จำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ ของแต่ละมลรัฐในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 2563
3.1 กลุ่มมลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ มากที่สุด 18 คนขึ้นไป (มีสมาขิกสภาผู้แทนราษฎร 15 คนขึ้นไป) มีอยู่จำนวน 7 มลรัฐ ได้แก่
– คาลิฟอร์เนีย 55
– เท็กซัส 38
– ฟลอริดา 29
– นิวยอร์ค 29
– อิลลินอยส์ 20
– เพนซิลเวเนีย 20
– โอไฮโอ 18
3.2 กลุ่มมลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ ระหว่าง 12-16 คน มีจำนวน 6 มลรัฐ
(มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระหว่าง 10-14 คน)
– จอร์เจีย 16
– มิชิแกน 16
– นอร์ธ คาโรไลนา 15
– นิวเจอร์ซี 14
– เวอร์จิเนีย 13
– วอชิงตัน 12
3.3 กลุ่มมลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 8-11 คน (มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 6-9 คน)
3.3.1 มลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 11 คน มีอยู่ 4 มลรัฐ ได้แก่
อริโซนา อินเดียนา แมสซาจูเซตต์ และเทนเนสซี
3.3.2 มลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 10 คน มีอยู่ 4 มลรัฐได้แก่
แมรีแลนด์ มินเนโซตา มิสซูรี และวิสคอนซิน
3.3.3 มลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 9 คน มีอยู่ 3 มลรัฐ ได้แก่
อลามา โคโลราโด เซาธ์ คาโรไลนา
3.3.4 มลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 8 คน มีอยู่ 2 มลรัฐ ได้แก่
เคนตั๊กกี หลุยส์เซียนา
3.3.5 มลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 7 คน มีอยู่ 3 มลรัฐ ได้แก่
คอนเน็คติกัต โอกลาฮามา และออริกอน
3.3.6 มลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 6 คน มีอยู่ 6 มลรัฐ ได้แก่
อาร์คันซอ ไอโอวา คันซัส มิสซิสซิปปี เนวาดา และยูทาห์
3.4 กลุ่มมลรัฐทีมีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 4-5 คน (มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2-3 คน)
3.4.1 มลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 5 คน มีอยู่ 3 มลรัฐ ได้แก่
เนบราสกา นิวเม็กซิโก เวสต์ เวอร์จิเนีย
3.4.2 มลรัฐทีมีจำนวนผู้เลือกตั้ง 4 คน มีอยู่ 5 มลรัฐ ได้แก่
ฮาวาย ไอดาโฮ เมน นิว แฮมเชียร์ และโรด ไอสแลนด์
3.5 กลุ่มมลรัฐที่มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ 3 คน (มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 คน) มีจำนวน 8 มลรัฐ รวมทั้งกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้แก่
อลาสกา เดลาแวร์ วอชิงตัน ดี.ซี. นอร์ธ ดาโกตา เซาธ์ ดาโกตา เวอร์มอนต และไวโอมิง
รวมทั้งสิ้น 50 มลรัฐและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีจำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ ทั้งหมด 538 คน
4. ผู้ชนะ เลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา อยู่ในกำมือของคนเพียง 538 คนเท่านั้น
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ที่แต่ละมลรัฐได้จัดการให้มีเลือกตั้ง ผู้เลือกตั้ง ฯ พร้อมกับการเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และผู้ว่าการมลรัฐต่าง ๆ ที่ได้ครบวาระลง
หลังจากนั้น ผู้เลือกตั้ง ฯ ของแต่ละมลรัฐจะได้ออกไปใช้สิทธิในนามของประชาชนของแต่ละมลรัฐในวันที่ 14 ธันวาคม 2563 เสร็จแล้วแต่ละมลรัฐจะส่งบัตรการลงคะแนนดังกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังรัฐบาลกลางในนามของประธานวุฒิสภา เพื่อดำเนินการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งต่อไป
หากผลการนับคะแนนปรากฏว่า ผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนเสียงข้างมากไม่น้อยกว่า 270 คะแนน ผู้นั้นก็จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีอเมริกาอย่างเป็นทางการ

5.ทิศทางในการลงคะแนนของผู้เลือกตั้ง ฯ
ในการเลือกตั้งวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ผู้เลือกตั้ง ฯ จำนวน 538 คน จากมลรัฐ 50 มลรัฐ และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.จะไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี รวมทั้งรองประธานาธิบดีอเมริกาในนามของประชาชนของแต่ละมลรัฐ ณ ที่เลือกต้ังของแต่ละมลรัฐ

ผู้เลือกตั้ง ฯ จากแต่ละมลรัฐ ย่อมจะตัดสินใจเลือกผู้สมัครตามที่พวกตนได้มีพันธะสัญญาไว้ เช่น มลรัฐ ก. มีผู้เลือกตั้ง ฯ 50 คน ผู้สมัครในนามพรรครีพับลิกัน (โดนัลด์ ทรัมป์) ได้รับคะแนนเสียงข้างมากจากประชาชนในมลรัฐ ก. โดยประเพณีปฏิบัติ ผู้เลือกตั้ง ฯ จากมลรัฐ ก.ทั้ง 50 คน ย่อมต้องลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน (โดนัลด์ ทรัมป์)
ตามแผนที่ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ผู้เลือกตั้ง ฯ จำนวน 306 คน (สีน้ำเงิน) จะเลือก โจ ไบเดน และ 232 คน (สีเลือดหมู) จะเลือกโดนัลด์ ทรัมป์

ดังนั้น เมื่อผู้เลือกตั้ง ฯ จำนวน 538 คนจากมลรัฐ 50 มลรัฐ และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ได้ลงคะแนนเสร็จแล้ว ผลการนับคะแนนในการเลือกตั้งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี ก็จะสอดคล้องกับผลการรวมคะแนนอย่างไม่เป็นทางการของการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563
หากไม่มีปัญหาในการฟ้องร้องคดีต่อศาลสูงว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้เป็นไปโดยมิชอบ ก็จะมีการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครคือผู้ชนะได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีอเมริกา คนที่ 46 ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ โจ ไบเดน จากพรรคดีโมแครต
5. สรุป
ผู้ชนะ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม หรือการเลือกตั้งแบบสองชั้น โดยรัฐธรรมนูญอเมริกาให้อำนาจสภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐ ดำเนินการเลือกผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีตามจำนวนที่แต่ละมลรัฐจะพึงมี คือ ตามจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและจำนวนวุฒิสมาชิกของแต่ละมลรัฐรวมกัน และเมื่อรวมทั้งประเทศเรียกรวมกันว่า คณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีมีจำนวนทั้งสิ้น 538 คน
เมื่อมลรัฐได้ดำเนินการเลือกผู้เลือกตั้ง ฯ แล้ว ขั้นตอนต่อไป เป็นหน้าที่ของผู้เลือก ฯ จำนวน 538 คน ต้องไปเลือกตั้งประธานาธิบดี รวมทั้งรองประธานาธิบดี หากผลการนับคะแนนปรากฏว่า ผู้สมัครคนใดได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 270 เสียง ผู้นั้นก็เป็นผู้ชนะจะได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ
สำหรับความคิดเห็นเพิ่มเติม ติดตามได้ใน คุยกับดร.ชา ท้ายบทความนี้
คุยกับดร.ชา
คู่สนทนาของผมในวันนี้ คือ คุณเนรมิต (ชื่อสมมุติ) เช่นเคย
“สวัสดีครับ คุณเนรมิต วันนี้เรามาคุยกันต่อจากคราวที่แล้วเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา” ผมทักทายเบา ๆ
“ สวัสดีดร.ชา ด้วยความยินดี ขอเชิญเปิดประเด็นได้เลยครับ ” คุณเนรมิตทักทายผมตอบ
“ในประเด็นแรก ผมขอทราบความเห็นว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปของอเมริกา มีการเลือกตั้งหลายอย่าง คือ ผู้ว่าการมลรัฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และที่สำคัญคือการเลือกตั้งประธานาธิบดี
แต่ประเด็นคำถาม คือ ทำไมการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาได้ผ่านไปเดือนเศษแล้ว จึงยังไม่สามารถประกาศได้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ หรือ โจ ไบเดน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเสียที ” ผมถามด้วยความรู้สึกอึดอัดเต็มที
“ ผมชอบคำถามนี้มากเลย ดร.ชา เพราะผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ที่มิใช่คนอเมริกัน ก็คงรู้สึกสับสนมาก ถ้าเช่นนั้น ผมขอทำความเข้าใจดังนี้
ก่อนยุคสงครามการเมืองอเมริกา สภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐ เป็นผู้แต่งตั้งบุคคลเป็นผู้เลือกตั้ง ฯ หลังจากนั้น ผู้เลือกตั้ง ฯ ของแต่ละมลรัฐก็จะไปใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีในนามของประชาชนของแต่ละมลรัฐ และเมื่อรัฐบาลกลางได้ตรวจบัตรและรวมคะแนนเสร็จแล้ว จึงจะทราบได้ว่า ใครได้คะแนนเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง ผู้นั้นก็จะได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี
แต่ภายหลังสงครามการเมือง กระแสประชาธิปไตยมาแรง แต่ละมลรัฐได้เปลี่ยนวิธีเลือกผู้เลือกตั้ง ฯ ใหม่ เป็นการให้ประชาชนเลือกตั้งผู้เลือกตั้ง ฯ โดยตรงแทนการแต่งตั้ง จึงเป็นสาเหตุทำให้ทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีล่วงหน้าอย่างไม่เป็นทางการ ” คุณเนรมิตตอบแบบคนเคยอยู่อเมริกาหลายปี
“ ที่ท่านว่ามา ผมพอเข้าใจ แต่เกรงว่า ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่อาจจะยังงงอยู่ จึงขอถามท่านเป็นประเด็นที่สองเลยว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ประชาชนในแต่ละมลรัฐก็ไปใช้สิทธิเลือกผู้เลือกตั้ง ฯ แต่ทำไมจึงทราบผลล่วงหน้าแล้วว่า โจ ไบเดน จะชนะการเลือกตั้งคราวนี้ เพราะมีคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งเกินกว่า 270 คะแนนแล้ว ” ผมถามในสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่น่าจะคาใจ
“ อ๋อ เรื่องนี้ ผมคงต้องอธิบายให้ดร.ชา เห็นภาพในวันเลือกตั้งทั่วไป 3 พฤศจิกายน 2563 ว่า ประชาชนผู้ไปสิทธิเลือกตั้ง เขาทำอะไรกัน
ณ ที่เลือกตั้ง ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จะได้รับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบแรก เป็นบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดี และใบที่สอง เป็นบัตรเลือกตั้งรองประธานาธิบดี
ประชาชนผู้เลือกตั้ง จะเห็นรายชื่อผู้เลือกตั้ง ฯ ประกาศให้เห็นว่า หากเขากาบัตรเลือกโดนัลด์ ทรัมป์ พรรครีพับลิกัน จะมีผู้ใดได้รับเลือกให้เป็นผู้เลือกตั้ง ฯ ของมลรัฐนั้น และถ้าเลือก โจ ไบเดน พรรคดีโมแครต จะมีผู้ใดได้รับเลือกให้เป็นผู้เลือกตั้ง ฯ ของมลรัฐนั้น
หมายความว่า แต่ละพรรคจะนำเสนอรายชื่อบุคคลที่พรรคเห็นสมควรให้เป็นผู้เลือกตั้ง ฯ ที่สนับสนุนพรรคของตนให้ประชาชนทราบด้วย
และเมื่อมลรัฐนั้น รวมคะแนนเสร็จ หากปรากฏว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะในมลรัฐนั้น ผู้เลือกตั้ง ฯ ตามรายชื่อที่ปิดประกาศไว้ ณ ที่เลือกตั้ง ซึ่งเป็นฝ่ายของพรรครีพับลิกัน ก็จะได้เป็นผู้เลือกตั้ง ฯ ทั้งหมดขอมลรัฐ ส่วนรายชื่อผู้เลือกตั้ง ฯ ซึ่งสนับสนุน โจ ไบเดน ซึ่งผู้สมัครที่ได้คะแนนน้อยกว่า ก็จะไม่มีผู้ใดได้เป็นผู้เลือกตั้ง ฯ ของมลรัฐเลย
หากทำเช่นนี้จนครบถ้วนทุกมลรัฐ ก็จะได้คะแนนออกมาอย่างไม่เป็นทางการว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะในมลรัฐใดบ้าง และโจ ไบเดน ชนะในมลรัฐใดบ้าง เมื่อเอาตัวเลขผู้เลือกตั้ง ฯ ของแต่ละมลรัฐที่ผู้สมัครแต่ละคนได้รับมารวมกัน ก็จะได้ตัวเลขออกมาอย่างไม่เป็นทางการว่า ใครคือผู้ชนะ” คุณเนรมิตอธิบายอย่างละเอียด
“ ผมคิดว่า คุณเนรมิตอธิบายได้ชัดเจนดีมาก แต่อยากให้ลองยกตัวอย่างประกอบจะได้ไหม” ผมกระตุ้นให้นำเสนออย่างเป็นรูปธรรม
“ ได้ดร.ชา ผมขอสมมุติตัวอย่าง ว่าได้มีการรวมคะแนนในการเลือกตั้ง เพื่อเลือกผู้เลือกตั้ง ฯ ของมลรัฐ จำนวน 3 มลรัฐ คือ
ชื่อมลรัฐ ผู้สมัครที่ชนะในการลงคะแนน จำนวนผู้เลือกตั้ง ฯ
มลรัฐ ก. โดนัลด์ ทรัมป์ 50
มลรัฐ ข. โจ ไบเดน 40
มลรัฐ ค. โจ ไบเดน 30
รวม จำนวน 3 มลรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะ 1 มลรัฐ ได้ผู้เลือกตั้ง ฯ มา 50 เสียง
โจ ไบเดน ชนะ 2 มลรัฐ ได้ผู้เลือกตั้ง น มา 70 เสียง ” คุณเนรมิตอธิบายพอให้มองเห็นภาพ
“ประเด็นสุดท้าย ผมขอทราบความเห็นว่า ในเมื่อการเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ก็ทราบแล้วว่า โดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งในมลรัฐใดบ้าง ทำไมในขั้นตอนนี้ยังเรียกว่า เป็นผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ยังประกาศผลไม่ได้ ” ผมถามเพื่อให้ได้ความชัดเจน
“ ดีมากครับที่ดร.ชา กรุณาถามผมในประเด็นนี้
ตามรัฐธรรมนูญอเมริกา กำหนดให้ผู้เลือกตั้ง ฯ ที่สภานิติบัญญัติของมลรัฐเลือกมา เป็นผู้มีอำนาจเลือกประธานาธิบดี ไม่ใช่ประชาชน ดังนั้น ผลอย่างเป็นทางการ ต้องรอให้ผู้เลือกตั้ง ฯ ของแต่ละมลรัฐ รวมทั้งหมด จำนวน 538 คนไปออกเสียงลงคะแนนในวันที่ 14 ธันวาคม 2563 เสียก่อน และเมื่อได้มีการรวมคะแนนตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ จึงจะเรียกได้ว่า เป็นผลอย่างทางการ” คุณเนรมิตพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“ ชัดเจนดีมาก คุณเนรมิต วันนี้ คงรบกวนเวลาเท่านี้นะ ขอบคุณมาก โอกาสหน้าค่อยคุยกันใหม่” ผมกล่าวยุติการสนทนา
“ ด้วยความยินดีครับ ดร.ชา ”
จุดแข็งที่ทำให้ไปเดน ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ อาจารย์มองอย่างไรคะ ขอบคุณค่ะ
ตอบสั้น ๆ คนเขาเบื่อทรัมป์ การตัดสินใจไม่แน่นอน
ไบเดนได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ความสัมพันธ์กับชาติตะวันออกกลางจะเป็นไปในทิศทางไหนคะอาจารย์
ก็คงจะเหมิอนยุคโอบามา เพราะไบเคน เคยเป็นรองประธานาธิบดียุคนั้น
นโยบายสนับสนุนความเป็นประชาธิปไตยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเียงใต้มีมากกว่าทรัมป์ อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรคะในเรื่องนี้
เป็นเพียงข้ออ้างที่จะเข้าแทรกแซง